CASINO ONLINE

CASINO ONLINE
CASINO ONLINE

Sunday, March 31, 2019

ข้อห้ามสตรีขึ้นอุโบสถ วัดศรีสุพรรณ

เที่ยววัดศรีสุพรรณ จังหวัดเชียงใหม่



ตั้งอยู่บนถนนวัวลาย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่  เป็นวัดที่มีประวัติการก่อสร้างมาตั้งแต่ครั้งอดีตกว่า 500 ปี ในรัชสมัยของพระเจ้าเมืองแก้ว กษัตริย์เชียงใหม่ราชธานี และพระนางสิริยสวดี พระราชมารดามหาเทวีเจ้า โปรดเกล้าฯ ให้มหาอำมาตย์ชื่อเจ้าหมื่นหลวงจ่าคำ สร้างวัดชื่อว่า “วัดศรีสุพรรณอาราม” ต่อมาเรียกสั้น ๆ ว่า “วัดศรีสุพรรณ” ภายในวัดมีอุโบสถเงินแห่งแรกของโลก ที่ชาวชุมชนร่วมแรงร่วมใจสืบสานเครื่องเงินชุมชนวัวลาย ซึ่งเป็นชุมชนทำหัตถกรรมเครื่องเงินที่มีชื่อเสียงของจังหวัดเชียงใหม่
เนื่องด้วยวัดศรีสุพรรณตั้งอยู่ท่ามกลางชุมชนหัตถกรรมช่างหล่อ หัตถกรรมเครื่องเงิน เครื่องเขิน ของถนนวัวลาย ทางวัดจึงมีแนวคิดที่จะสืบสานมรดกงานศิลป์ภูมิปัญญาท้องถิ่นให้ยั่งยืนสืบไปด้วยการรวบรวมภูมิปัญญาชาวบ้านจัดตั้งเป็น กลุ่มหัตถศิลป์ล้านนาวัดศรีสุพรรณ มีการจัดตั้งศูนย์ศึกษาศิลปะไทยโบราณ สล่าสิบหมู่ล้านนาวัดศรีสุพรรณ ขึ้นภายในวัด ในปี พ.ศ. 2547 ทางวัดศรีสุพรรณมีแนวคิดสร้างอุโบสถเงินหลังแรกของโลก ให้เป็นสถาปัตยกรรมสำคัญทางพระพุทธศาสนา โดยมีปณิธานร่วมกันเพื่อ “ฝากศิลป์แก่แผ่นดินล้านนา ถวายไว้ในบวรพระพุทธศาสนา เทิดไท้องค์ราชันย์ รัชกาล ที่ 9” เกิดเป็นพุทธศิลป์อันวิจิตรที่ดึงดูดให้ทั้งพุทธศาสนิกชนและบุนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศมาเยี่ยมชมความงดงามของพระอุโบสถหลังนี้อยู่ทุกวัน

พระอุโบสถเงิน

เป็นพระอุโบสถหลังใหม่ที่ปฏิสังขรณ์จากฐานและเขตพัทธสีมาของอุโบสถหลังเดิมที่ชำรุดทรุดโทรม  สร้างขึ้นเพื่อทดแทนหลังเดิมที่ชำรุดทรุดโทรมเป็นอย่างมาก มีลักษณะเป็นพระอุโบสถเงินทรงล้านนา สร้างด้วยโลหะเงินและดีบุก โดยฝีมือและภูมิปัญญาช่างท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงด้านเครื่องเงิน ทั้งภายนอกและภายในพระอุโบสถ ประดับตกแต่งด้วยหัตถกรรมเครื่องเงินอย่างวิจิตรอลังการ และมีลวดลายอ่อนช้อย ภายในประดิษฐานองค์พระประธาน หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า พระเจ้าเจ็ดตื้อ เป็นพระพุทธรูปขนาดหน้าตักกว้าง 3 ศอก สูง 4 ศอก ปางมารวิชัย เนื้อทองสัมฤทธิ์  มีเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับ พระพุทธปาฏิหาริย์ฯ(พระเจ้าเจ็ดตื้อ) ตลอดเวลาที่ประดิษฐานเป็นพระประธานอุโบสถวัดศรีสุพรรณมา กว่า ๕๐๐ ปี  ได้แสดงปาฏิหาริย์ลงสรงน้ำในสระข้างโบสถ์ ได้โปรดเมตตาให้ผู้มีจิตอันบริสุทธิ์ด้วยศีลธรรมที่มาขอพรให้สมปรารถนา โดยเฉพาะผู้หญิงและยังมีนักพลังจิตหรือผู้มีญาณพิเศษทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ได้สัมผัสถึงพลัง ๓ คู่ คือ พลังหยิน – หยาง พลังร้อน – เย็น พลังเงิน-ทอง ในองค์หลวงพ่อพระเจ้าเจ็ดตื้อ ยิ่งมีผู้มีจิตศรัทธา เคารพสักการะ มานมัสการขอพรมากยิ่งขึ้น

หมายเหตุ:  ใต้ฐานอุโบสถ เขตพัทธสีมา (ภายในกำแพงแก้ว)ฝั่งสิ่ งศักดิ์สิทธิ์ ของมีค่า คาถาอาคมและเครื่องรางของคลังไว้กว่า ๕๐๐ ปีอาจก่อให้เกิดความเสื่อมแก่สถานที่หรือตัวสุภาพสตรีเองตามจารีตล้านนา จึงห้ามสุภาพสตรีขึ้นอุโบสถหลังนี้

พระวิหารทรงล้านนา 

สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้ากาวิโรรส เมื่อประมาณ พ.ศ.2342  วิหารหลังนี้มีทำการปฏิสังขรณ์ผสมศิลปะร่วมสมัย โดยรักษาของที่มีอยู่เดิม ได้วาดจิตรกรรมฝาผนังเรื่องราวพระธาตุ 12 ราศี ภาพพระธาตุเจดีย์ ศูนย์กลางเมืองเชียงใหม่ในอดีตและภาพปริศนาธรรมโลกทั้ง 3 และได้นำเอาภูมิปัญญาชาวบ้านหัตถกรรมเครื่องเงินการดุนลาย ภาพพระพุทธประวัติ  ภาพพระเจ้าสิบชาติ ภาพพระเวสสันดรชาดก ประดับตกแต่งฝาผนังวิหาร มีพระพุทธรูปปางมารวิชัยองค์ใหญ่เป็นพระประธานพระวิหารของวัดศรีสุพรรณ เปรียบดั่ง โรงเรียนพุทธศิลปะชั้นเลิศของเมืองล้านนา เพราะได้แสดง ฝีมือช่างในล้านนาทั้งสิบหมู่ ไว้ในที่เดียวกัน


พระบรมธาตุ วัดศรีสุพรรณ

เป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูนแบบล้านนา ฝีมือช่างหลวง ทรงองค์ระฆังกลม บนฐานดอกบัวคว่ำบัวหงาย แปดชั้นแปดเหลี่ยม ตั้งบนฐานรองรับทรงสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สามสิบหก  พระบรมธาตุเจดีย์ได้มีการบูรณะมาหลายครั้งแล้ว มีอายุประมาณเท่ากับพระวิหารหรือหลังจากนั้นไม่นาน เพราะในพุทธศาสนาทางล้านนานั้น นิยมสร้างพระธาตุเจดีย์ไว้หลังพระวิหาร



พิพิธภัณฑ์ภูมิปัญญาสล่าสิบหมู่ 

เพื่อถ่ายทอดและสืบสานงานศิลป์ภูมิปัญญาท้องถิ่น และร่วมสนับสนุนการสร้างงาน สร้างรายได้ ให้เศรษฐกิจชุมชนเข้มแข็ง สามารถพึ่งตนเองตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงอย่างยั่งยืนขึ้น เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น หัตถกรรมเครื่องเงินของชาวบ้าน มีการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนในรูปแบบสหกรณ์

 ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.paiduaykan.com


Saturday, March 30, 2019

เที่ยววัดพระสิงห์จังหวัดเชียงใหม่

วัดพระสิงห์



วัดพระสิงห์ หรือมีชื่อเต็มว่า วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร เป็นวัดสำคัญวัดหนึ่งของเมืองเชียงใหม่ เป็นวัดที่ประดิษฐาน พระสิงห์ (พระพุทธสิหิงค์) พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองเชียงใหม่และแผ่นดินล้านนา พระพุทธรูปเป็นศิลปะ เชียงแสนรู้จักกันในชื่อ "เชียงแสนสิงห์หนึ่ง วัดพระสิงห์   มีสถาปัตยกรรมล้านนาอันงดงามเป็นที่รู้จักและ คุ้นชื่อกันอย่างดี  วัดพระสิงห์ยังเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวเชียงใหม่ที่ให้ความศรัทธาและจะเดินทาง มาเคารพ สักการะกันอย่างเนื่องแน่นเป็นประจำ ทุกปีเมื่อถึงช่วงเทศกาลสงกรานต์หรืองานประเพณีปี๋ใหม่เมือง ทางราชการ จึงได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ขึ้นประดิษฐานบนรถบุษบกแห่ไปรอบเมืองเพื่อให้ศรัทธา ประชาชนได้พากันมา สรงน้ำเนื่อง ในเทศกาลปีใหม่  ตามคติล้านนา คนเกิดปีมะโรงต้องมาไหว้พระสิงห์ให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต
วัดพระสิงห์ เชียงใหม่
สิ่งที่น่าสนใจในวัดพระสิงห์



1.โบสถ์
เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีมุขโถงทั้งด้านหน้าด้านหลัง ลักษณะอาคารและการตกแต่งเป็น แบบศิลปะล้านนา โดยแท้ ด้านข้างแลเห็นหน้าต่างขนาดใหญ่ตีเป็นช่องแบบไม้ระแนง แต่ภายในเป็นหน้าต่างจริง มีลายปูนปั้นบริเวณ ซุ้มประตูทางเข้า หน้าบันมีลักษณะวงโค้งสองอันเหนือทางเข้าประกบกัน เรียกว่า คิ้วโก่ง เหนือคิ้วโก่งเป็น วงกลม สองวงคล้ายดวงตา ที่เสาและส่วนอื่นๆ มีปูนปั้นนูน มีรักปั้นปิดทอง วิจิตรพิศดารมาก



2.หอไตร 
สร้างเป็นอาคารครึ่งตึกครึ่งไม้ ผนังด้านนอกประดับด้วยทวยเทพปูนปั้น ทำเป็นรูปเทพพนมยืน บ้างก็เหาะประดับ อยู่โดยรอบ เป็นฝีมือช่างสมัยพระเมืองแก้ว ประมาณ พ.ศ. 2476 เจ้าแก้วนวรัฐได้ซ่อมแซมขึ้น ใหม่ที่ฐาน หอไตรปั้นเป็นลายลูกฟักลดบัว ภายในประดับด้วยรูปสัตว์หิมพานต์ เช่น นางเงือกมีปีก คชสีห์มีปีก กิเลน เป็นต้น และมีลายประจำยามลักษณะคล้ายลายสมัยราชวงศ์เหม็งของจีน



1.วิหารลายคำ
วิหารลายคำนี้มีลวดลายปูนปั้นที่สวยงามปราณีตบรรจงมากแสดงให้เห็นฝีมือของช่างในยุคนั้นว่าเจริญถึงที่สุด ตัววิหารลายคำสร้างตามแบบศิลปกรรมของภาคเหนือ มีรูปปั้นพญานาค 2 ตัวอยู่บันไดหน้า และใกล้ ๆ พญานาค มีรูปปั้นสิงห์ 2 ตัว บริเวณ ภายในเป็นที่ประดิษฐาน “พระพุทธสิหิงค์” บนผนังด้านหลังพระประธาน เสาหลวง (เสากลม) เสาระเบียง (เสาสี่เหลี่ยม) มีภาพลายทองพื้นแดงเป็นลวดลายต่างๆ เต็มไปหมด ด้านหลังพระประธาน ยังมีรูปปราสาทแวดล้อมด้วยมังกรและหงส์ มีความงดงามน่าชมยิ่ง ผนังวิหารด้านเหนือมีภาพจิตรกรรม เขียน เรื่องสังข์ทอง ด้านใต้เรื่องสุวรรณหงส์ นับเป็นภาพที่น่าสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องสังข์ทอง พบเพียงแห่ง เดียวที่นี่


ประวัติพระพุทธสิหิงค์
พระพุทธสิหิงค์ หรือ พระสิงห์ เป็นพระพุทธรูปโบราณหล่อด้วยสำริดหุ้มทอง ปางสมาธิ สูง 79 เซนติเมตร หน้า ตักกว้าง 63 เซนติเมตร  เป็นศิลปะแบบลังกา ตามประวัติกล่าวว่า พระเจ้าสีหฬะ พระมหากษัตริย์แห่ง ลังกาทวีป ทรงสร้างขึ้น เมื่อ พ.ศ. 700 ต่อมา เจ้านครศรีธรรมราชได้ไปขอมาถวายพระร่วงแห่งกรุงสุโขทัย เมื่อสมเด็จ พระบรมราชาธิราชที่ 1 แห่งกรุงศรีอยุธยาได้กรุงสุโขทัยเป็นเมืองขึ้น จึงได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาประดิษฐาน ที่ กรุงศรีอยุธยาต่อมาได้มีผู้นำไปไว้ที่เมืองกำแพงเพชรและเชียงราย เมื่อพระเจ้าแสนเมืองมา เจ้านครเชียงใหม่ ยกทัพไปตีเมืองเชียงรายได้ จึงได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาประดิษฐานที่เชียงใหม่พร้อมกับพระแก้วมรกต เมื่อสมเด็จพระนารายณ์มหาราชตีเมืองเชียงใหม่ได้เมื่อ พ.ศ. 2205 ได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาประดิษฐานที่ วัดพระศรีสรรเพชญ์กรุงศรีอยุธยาเป็นเวลานานถึง 105 ปี เมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 แก่พม่าใน พ.ศ. 2310 ชาวเชียงใหม่ได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์กลับไปที่เชียงใหม่ เมื่อมณฑลพายัพได้กลับมาเป็นของไทย ในสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทโปรดให้อัญเชิญลงมา ยังกรุงเทพมหานครเมื่อปี พ.ศ. 2338 ปัจจุบันพระพุทธสิหิงค์ ประดิษฐานอยู่ ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พระราชวัง บวรสถานมงคล โดยจะมีพิธีเชิญออกมาช่วงเทศกาลสงกรานต์ให้ประชาชนไทยได้สักการะและสรงน้ำ ส่วนพระสิงห์ที่ประดิษฐานที่วัดแห่งนี้เป็นพระพุทธรูปจำลอง



การเดินทางไปวัดพระสิงห์
1. โดยรถยนต์ส่วนตัว
วัดพระสิงห์จะตั้งอยู่บริเวณคูเมืองด้านในบริเวณ ถนนสิงหราชจรดกับถนนราชดำเนิน
2.โดยรถสาธารณะ
สามารถนั่งรถสองแถวสีแดงที่ให้บริการรอบเมืองค่าโดยสารแล้วแต่ระยะทาง

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.paiduaykan.com

ดอยสุเทพ เชียงใหม่

เที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ ดอยสุเทพ


ดอยสุเทพไม่เพียงแต่เป็นที่ตั้งของวัดพระบรมธาตุดอยสุเทพ ปูชนียสถานคู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่ และพระตำหนัก ภูพิงค์ราชนิเวศน์ที่ประทับช่วงฤดูหนาวของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทว่าดอยสูงแห่งนี้ยังสมบูรณ์ด้วยสภาพ ธรรมชาติทั้งพืชพรรณและสัตว์ป่า โดยเฉพาะนก ประกอบกับการเดินทางเข้าถึงสะดวก เพราะเชิงดอยอยู่ห่างจาก ตัวเมืองเชียงใหม่เพียง 6 กิโลเมตร และบนเส้นทางขึ้นสู่ยอดดอยประมาณ 16 กิโลเมตร ก็มีสถานที่ท่องเที่ยว ต่างๆ ให้เที่ยวชมได้ตลอด ดอยสุเทพ เดิมชื่อว่า “ดอยอ้อยช้าง” สำหรับดอยสุเทพที่เรียกกันในปัจจุบันนี้เป็น ชื่อที่ได้มาจาก “พระฤาษีวาสุเทพ” ซึ่งเคยบำเพ็ญตบะอยู่ที่เขาลูกนี้เมื่อพันกว่าปีมาแล้ว

สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ
1.อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย


นักบุญแห่งล้านนา ซึ่งเป็นบุคคลแรกที่บุกเบิกสร้างถนนขึ้นไปบนดอยสุเทพ เมื่อปี พ.ศ.2477 ในสมัยก่อนการขึ้น ไปนมัสการพระธาตุดอยสุเทพนั้น เป็นเรื่องที่ยากลำบากเหลือเกิน เพราะไม่มีถนนสะดวกสบายเหมือนปัจจุบัน ทางเดินก็แคบๆ และ ไม่ราบเรียบ ต้องผ่านป่าเขาลำเนาไพร และปีนเขาต้องใช้เวลายาวนานถึง 5 ชั่วโมงกว่าจนมี คำกล่าว ขานกันทั่วไปในสมัยนั้นว่า ถ้าไม่มีพลังบุญและศรัทธาเลื่อมใสจริงๆ ก็จะไม่มีโอกาสได้กราบไหว้พระธาตุ ดอยสุเทพ พระครูบาศรีวิชัย ขณะที่จำพรรษาอยู่ที่วัดศรีโสดา เริ่มชักชวนประชาชนสร้างทางจากเชิงดอยถึง วัดพระธาตุดอยสุเทพ รวมระยะทางประมาณ 11 กิโลเมตร โดยใช้เวลาสร้างประมาณ 6 เดือน ต่อมา ชาวเชียงใหม่ จึง ได้สร้างอนุสาวรีย์ ์์พระครูบาศรีวิชัยไว้เป็นอนุสรณ์สถานเพื่อสักการบูชาสืบไป ใกล้กับอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย สามารถเดินไปเยี่ยมชม น้ำตกห้วยแก้วระยะทางประมาณ 300 เมตร และฝั่งตรงข้ามอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย เป็นที่ ตั้งที่ทำการอุทยานแห่่งชาติดอยสุเทพ-ปุย
2.วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร


พระธาตุประจำปีเกิดปีมะแม เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่มีความสำคัญทางศาสนาและประวัติศาสตร์ของนครเชียงใหม่ ตั้งอยู่บนดอยสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.1927 มีบันไดนาคทอดยาวขึ้นไปสู่วัด 306 ขั้นภายใน วัดเป็นที่ประดิษฐานขององค์เจดีย์ ทรงมอญ ที่ใต้ฐานพระเจดีย์มีพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ เจ้าบรรจุอยู่ วัดพระธาตุดอยสุเทพมีชื่อ เต็มว่า “วัดพระบรมธาตุดอยสุเทพวรวิหาร” ซึ่งจัดได้ว่าเป็นปูชนียสถานที่ แสดงออกถึงศิลปกรรมล้านนาไทยที่สำคัญ คู่เมืองเชียงใหม่ รอบองค์พระบรมธาตุ ประกอบด้วยสิ่งสำคัญ 5 ประการ ได้แก่

1. ฉัตร 4 มุม ทำด้วยทองเหลือง สร้างโดยพระเจ้ากาวิละ กษัตริย์ผู้ครองนครเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2348 มีความ หมายว่า ฉัตรเป็นสัญลักษณ์ของความร่มเย็น ซึ่งแสดงให้ถึงความสงบร่มเย็นที่ได้รับอิทธิพล มาจาก พระพุทธ ศาสนาที่แผ่ไปในทั้ง 4 ทิศ

2. สัตติบัญชร หรือ รั้วหอก ที่อยู่รอบพระธาตุ ซึ่งมีที่มาจากเหตุการณ์แบ่งพระบรมสารีริกธาตุของโทณพราหมณ์
เมื่อภายหลังการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ เนื่องจากเกิดเหตุการณ์แย่งพระบรมสารีริกธาตุของเมืองต่างๆ เพื่อนำไปไว้บูชาประจำเมือง โทณพราหมณ์จึงทำหน้าที่แบ่ง โดยให้ทหารถือหอกรอบล้อมพระบรมสารีริกธาตุไว้ เพื่อป้องกันการแย่งชิง จึงเป็นที่มาของรั้วหอกรอบพระบรมธาตุ

3. หอยอ ลักษณะเหมือนวิหารขนาดเล็ก ประจำอยู่ 4 ด้าน ของพระบรมธาตุ ภายในมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่มีความหมายถึงการบูชาหรือสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้า (ยอคุณ)

4. หอท้าวโลกบาล ซึ่งเป็นหอยอดแหลมขนาดเล็ก ประจำอยู่ 4 มุมของพระบรมธาตุ หมายถึง ที่ประดิษฐาน
ของท้าวโลกบาลทั้ง 4 ซึ่งเป็นเทพที่ปกปักรักษาสิ่งสำคัญต่างๆ 4 ทิศ ทำหน้าที่รักษาพระบรมธาตุ ได้แก่
        - ท้าวกุเวร หรือท้าวเวสสุวรรณ มียักษ์เป็นบริวาร ทำหน้าที่เฝ้ารักษาทิศเหนือ
        - ท้าวธตรัฐ มีพวกคนธรรพ์เป็นบริวาร ทำหน้าที่รักษาทิศตะวันออก
        - ท้าววิรูฬปักข์ มีฝูงนาคเป็นบริวาร ทำหน้าที่รักษาด้านทิศตะวันตก
        - ท้าววิรุฬหก มีอสูรเป็นบริวาร ทำหน้าที่รักษาด้านทิศใต้
 5. ไหดอกบัว หรือ ปูรณะฆะฏะ (ปูรณะ แปลว่า เต็ม,สมบูรณ์, ฆฏะ แปลว่า หม้อ) แปลว่า หม้อที่แสดงถึงความ สมบูรณ์ ซึ่งหมายถึงความเจริญรุ่งเรื่องของพระพุทธศาสนาในล้านนาไทย นอกจากนี้พระธาตุดอยสุเทพยัง เป็น จุดชมวิว ที่สามารถมองเมืองเชียงใหม่ได้เกือบทั้งเมืองโดยเฉพาะในยาม ค่ำคืนที่จะมองเห็นแสงไฟนับ หมื่นดวง ท่ามกลางความมืดของกาลเวลา เป็นภาพที่สวยงามน่าจดจำเป็นอย่างยิ่ง และและก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่นักท่องเที่ยว ไม่พลาดที่จะถ่ายรูปคู่กับทิวทัศน์เมืองเชียงใหม่ในเบื้องล่างเพื่อเก็บภาพไว้เป็น ความทรงจำอันน่าประทับใจไม่ว่า จะเป็นช่วงเช้า สาย บ่าย เย็น หรือกลางคืน ที่นี่ก็สร้างความอิ่มใจให้กับนักท่องเที่ยวทุกคนเป็นอย่างมาก
ประเพณีเดินขึ้นนมัสการพระธาตุดอยสุเทพ
กำหนดงาน
วันวิสาขบูชา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6พระครูบาศรีวิชัยได้เปรียบการเดินทางขึ้นวัดพระธาตุดอยสุเทพ ไว้ว่า เป็นเสมือนการเดินทาง ไปสู่การตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเปรียบเทียบ วัดพระธาตุดอยสุเทพ คือวัดอรหันตาลักษณะการเดินทาง จะเดินด้วยเท้า ถือประทีปธูปเทียนเป็นริ้วขบวน ประกอบด้วย พระสงฆ์เดิน นำหน้าสวดมนต์ และประชาชนเดิน ตามหลัง โดยเริ่มขบวนณ วัดศรีโสดา หรือบริเวณ อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย แล้วเดินทางขึ้นไปนมัสการ วัดพระธาตุดอยสุเทพ หลังจากนั้นก็ บำเพ็ญศีล วิปัสสนา ทำบุญตักบาตร ในเช้าวันรุ่งขึ้น แล้วจึงเดินทางกลับ จึงถือว่าได้อานิสงส์แรงหรือ ได้ทำบุญมากนั่นเอง
การเดินทางเข้าชมพระธาตุดอยสุเทพมี 2 ทาง คือ
- บันใดนาค เป็นสัญลักษณ์สำคัญแห่งหนึ่งของวัดพระธาตุดอยสุเทพ มีความงดงามทางด้านศิลปะที่ทรงคุณค่า และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ นักท่องเที่ยวผู้มานมัสการพระบรมธาตุ มักจะต้องถ่ายภาพเป็นที่ระลึกที่ด้าน ของ บันใดนาคซึ่งมีทัศนียภาพงดงามและมีเสน่ห์เมื่อมองขึ้นไปตามขั้นใด นักท่องเที่ยวที่มาเยือนครั้งแรกมัก จะเดินขึ้น-ลง ลงบันใดนาคเสมอสามารถเดินทางขึ้น-ลง ได้ตลอดทั้งวัน แต่จะมีการตั้งด่านตรวจของอุทยานฯ ตั้งแต่เวลา 20.00 - 06.00 น.
- รถรางไฟฟัาเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 06.00 - 18.00 น. ในราคาขึ้น-ลง คนละ 20 บาท(สำหรับคนไทย) และ 50
บาท (สำหรับชาวต่างชาติ) หากเดินทางไปหลังเวลา 18.00 น. ต้องขึ้นทางบันไดเท่านั้นพระธาตุเท่านั้น ข้อมูล เพิ่มเติม http://www.doisuthep.com

5. พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์


เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงในด้านความสวยงาม และมีความสำคัญยิ่ง คือ เป็นที่ประทับแปรพระราชฐานของพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระบรมราชินีนาถและพระบรมวงศา นุวงศ์ พระตำหนักแห่งนี้ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2503 บริเวณใกล้ดอยบวกห้า ลักษณะเป็นแบบสถาปัตยกรรมไทย ภายใน บริเวณพระตำหนักได้รักษา สภาพธรรมชาติไว้ รวมทั้งมีการปลูกพันธุ์ไม้ดอกชนิดต่างๆ ไว้อย่างสวยงาม พระตำหนักนี้ อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติ ประมาณ 4 กิโลเมตร และเปิดให้ประชาชน เข้าชมได้ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ ทั้งนี้จะต้องเป็นช่วงเวลาที่มิได้เสด็จแปรพระราชฐานไปประทับ ซึ่งปกติจะปิดในช่วงเวลา ตั้งแต่ประมาณกลางเดือนธันวาคม-ต้นเดือนมีนาคม
ข้อมูลเพิ่มเติม
- เปิดจำหน่ายบัตรเข้าชม 2 ช่วงเวลา ได้แก่ ช่วงเช้า (08.30 - 11.30 น.) และช่วงบ่าย (13.00 - 15.30 น.) และปิดพระตำหนักฯ เวลา 16.30 น. อัตราค่าธรรมเนียมเข้าชม สำหรับชาวไทย 20 บาท ชาวต่างชาติ 50 บาท
- มีรถเล็กคอยให้บริการนักท่องเที่ยวเพื่อชมความสวยงามของพระตำหนักโดยรอบ เที่ยวละ 250 บาทนั่งได้ 4-5 คน
- ช่วงเดือน ม.ค. - มี.ค. งดเข้าชมเนื่องจากเป็นช่วงแปรพระราชฐาน
สนใจข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเข้าไปดูได้ที่ www.bhubingpalace.org

6. บ้านม้งดอยปุย
บ้านม้งดอยปุย ตั้งอยู่หมู่ที่ 11 ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ มีจำนวนประชากรประมาณ 747 คน (ข้อมูลเมื่อปี 2550) ซึ่งราษฎรส่วนมาก ประกอบอาชีพค้าขาย และบางส่วน ทำการเกษตร ภานใน หมู่บ้านมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายอย่าง ได้แก่ บ้านม้งดอยปุย บ้านม้งดอยปุย ตั้งอยู่หมู่ที่ 11 ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ มีจำนวนประชากรประมาณ747 คน (ข้อมูลเมื่อปี 2550) ซึ่งราษฎรส่วนมาก ประกอบอาชีพค้าขาย และบางส่วน ทำการเกษตร ภานในหมู่บ้านมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ หลายอย่าง

บ้านม้งดอยปุย
2. น้ำตกห้วยแก้ว
เกิดขึ้นในลำห้วยแก้ว อยู่บริเวณเชิงดอยใกล้ทางขึ้นดอยสุเทพ และเหนือน้ำตกห้วยแก้วขึ้นไปเล็กน้อยจะเป็น วังบัวบาน เป็นสถานที่ที่กล่าวถึงตำนานรักอันอมตะที่ลือชื่อของสาวเหนือ มีความสวยงามมาก
3. น้ำตกมณฑาธาร
น้ำตกมณฑาธารหรือน้ำตกสันป่ายาง เป็นน้ำตกที่สวยงามแห่งหนึ่งในเขตอุทยานฯ สูงกว่าระดับน้ำทะเล 730 เมตรมีทั้งหมด 9 ชั้น โดยมีน้ำตกไทรย้อย เป็นน้ำตกชั้นสูงสุด ที่ไหลมาจากห้วยคอกม้า แล้วไหลไปสมทบกับ น้ำตก มณฑาธาร ผ่านผาเงิบ วังบัวบาน น้ำตกห้วยแก้ว ก่อนจะไหลลงสู่แม่น้ำปิง ที่มาของน้ำตกนั้นมาจาก ต้นมณฑา ซึ่งเป็นไม้ยืนต้น ดอกสีขาว ใบใหญ่ สีเขียวจัด เห็นได้ทั่วไปตามข้างทาง ลักษณะของน้ำที่ตกลงมา แยกออก เป็น 2 สายเล็กๆ แล้ว ไหลลงสู่แอ่ง ก่อนจะผ่านลานหินลงไปชั้นที่ 1 อยู่ห่างจากน้ำตกห้วยแก้วประมาณ 3 กิโลเมตร

7. สันกู่
มื่อ ปีพ.ศ.2526 หน่วยศิลปากรที่ 4 เชียงใหม่ ได้ขุดแต่งบูรณะซากโบราณสถานสันกู่ การทำงานในครั้งนั้น เป็น ไปตามพระประสงค์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงทราบฝ่าละอองพระบาทว่า โบราณสถานแห่งนี้ถูกขุดทำลายเป็นเวลานานแล้วสมควรให้กรมศิลปากรสำรวจและบูรณะให้อยู่ในสภาพที่ดีต่อไป นับเป็นพระมหา กรุณาธิคุณต่อการศึกษาประวัติศาสตร์และโบราณคดี สภาพก่อนการขุดแต่ง เป็นเนินโบราณ สถานที่มีต้นไม้หนาแน่นเมื่อขุดลอกดินที่ทับถมออก พบซากเจดีย์และฐานวิหาร ได้ขุดลอกหลุมที่เกิดจากการ ลักลอบขุดที่ตรงฐานเจดีย์ในระดับความลึก 5.30 เมตร พบโบราณวัตถุในกรุที่สำคัญ ได้แก่ เศียรพระพุทธรูป ศิลปะแบบหริภุญไชยพระพิมพ์ดินเผา ศิลปะแบบหริภุญไชย เศษเครื่องปั้นดินเผาเป็นชิ้นส่วนกระปุกขนาดเล็ก เป็นของจีน สมัยราชวงศ์หมิง (พ.ศ.1911-2187) และการขุดแต่งส่วนอื่น พบเศษเครื่องปั้นดินเผาจากแหล่งเตา สันกำแพง สันนิษฐาน โบราณสถานสันกู่มีอายุระหว่างพุทธศตวรรษที่ 19-22

8. ยอดดอยปุย
ยอดดอยปุย สูง 1,658 เมตร จากระดับน้ำทะเล เป็นจุดสูงสุดของอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย มีอากาศเย็น สบายตลอดทั้งปี บนยอดดอยปกคลุมด้วยป่าสนเขาผืนใหญ่ และเป็นแหล่งดูนกที่น่าสนใจแห่งหนึ่ง ดอยสุเทพ และดอยปุยเป็นถิ่นอาศัยของนกมากกว่า 300 ชนิด เช่น ไก่ฟ้าหลังขาว นกกางเขนน้ำหลังดำ นกศิวะปีกสีฟ้า ฯลฯ ในช่วง ฤดูหนาวยังมีนกอพยพบินย้ายถิ่นเข้ามาอาศัยอีกเป็นจำนวนมาก หลายชนิดเป็นนกหายาก โดยเฉพาะ นกเขน นกจับแมลงสีคราม นกเดินดงอกลาย นกปีกแพรสีม่วง ฯลฯ

ที่พักบนดอยสุเทพ
สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมของบ้านพักได้ที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ - ปุย
การเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวบนดอยสุเทพ
1. รถยนต์ส่วนตัว
สามารถนำรถจักรยาน รถจักรยานยนต์ รถยนต์ส่วนตัว ขับขึ้นไปได้
- จาก อ. เมืองเชียงใหม่ เดินทางโดยรถยนต์ไปตามถนนห้วยแก้ว-มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ผ่านสวนสัตว์เชียงใหม่ และผ่านอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย จากอนุสาวรีย์ฯ ถนนเริ่มขึ้นเขาชันระยะทางประมาณ14 กิโลเมตรผ่านน้ำตก ห้วยแก้ว ถึงวัดพระธาตุดอยสุเทพวรวิหาร จากนั้นเดินทางต่อไปอีกเล็กน้อยถึงทางแยกด้านขวามือ มีป้ายบอก ทางเข้าที่ทำการ อุทยานฯ
- จากดอยสุเทพประมาณ 4 ก.ม. ไปพระตำหนักภูพิงค์ (รถบัสไม่สามารถเข้าถึงได้และจากจากพระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ไปประมาณ 4 กิโลเมตร ไปยังบ้านม้งดอยปุย เส้นทางจะคดเคี้ยว และลาดชันควรขับรถด้วยความ ระมัดระวังเพื่อความปลอดภัยควรจอดรถทิ้งไว้ที่พระตำหนัก แล้วนั่งรถสองแถวบริการนำเที่ยวพระตำหนัก ภูพิงคราชนิเวศน์ยอดดอยปุย และบ้านม้งดอยปุย จะดีกว่าค่ะ
- การเดินทางไปสันกู่ใช้เส้นทางพระตำหนักภูพิงค์-ยอดดอยปุย ผ่านทางแยกบ้านแม้วไปอีก 3 ก.ม. สภาพถนน เป็นถนนลาดยางแต่ค่อนข้างแคบ ควรขับรถด้วยความระมัดระวัง
- ยอดดอยปุย อยู่ห่างจากพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ ประมาณ 7 กิโลเมตร เส้นทางค่อนข้างแคบ และลาดชัน ควรขับรถด้วยความระมัดระวัง ทางขึ้นเลยสันกู่ไปประมาณ 1 ก.ม.
2. รถโดยสารประจำทาง
-จากตัวเมืองียงใหม่นั่งรถโดยสารมาลงหน้าสวนสัตว์เปิดเชียงใหม่ แล้วต่อรถโดยสารนำเที่ยวดอยสุเทพ หรืออาจจะเหมาไปก็ได้ หากไม่ได้เหมาไปรถโดยสารนำเที่ยวจะไปยังจุดที่สำคัญๆ ได้แก่ พระธาตุดอยสุเทพ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ และบ้านม้งดอยปุย หากต้องการไปเที่ยวในจุดอื่นๆ เพิ่มเติ่มสามรถต่อรองกันราคาเพิ่มเติมได้

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.paiduaykan.com

Friday, March 29, 2019

เที่ยววัดห้วยปลากั้งจังหวัดเชียงราย

วัดห้วยปลากั้ง



 ตั้งอยู่ในตำบลริมกก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เป็นอีกวัดหนึ่งของจังหวัดเชียงรายที่สวยงามตั้งอยู่บนเขา และมีเนินเขารายรอบวัดสามารถเห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามสิ่งที่โดดเด่นของวัดนี้ คือ " พบโชคธรรมเจดีย์"   ซึ่งเป็นเจดีย์ที่สูงถึง 9 ชั้น รูปทรงแปลกตาลักษณะเป็นทรงแหลม ศิลปะจีนผสมล้านนา หลังคาสีแดงมีรูปปั้นมังกรทอดยาวทั้งสองข้างบันได ล้อมรอบด้วยเจดีย์ เล็กๆ 12 ราศี  วัดห้วยปลากั้งเป็นวัดซึ่งชาวบ้านนับถือและเชื่อกันว่าหากใครได้มาเยือนจะหมือนกับได้ขึ้นสวรรค์ ภายในเจดีย์ ประดิษฐานพระพุทธรูปและพระอรหันต์ต่างๆ ภายในเจดีย์เป็นที่ประดิษฐาน เจ้าแม่กวนอิมแกะสลักจากไม้จันหอมองค์ใหญ่ สาเหตุ ที่เจดีย์ 9 ชั้นนี้ มีชื่อว่า พบโชคธรรมเจดีย์  เนื่องด้วยวัดห้วยปลากั้งแห่งนี้เป็นวัดร้างมาตั้งแต่โบราณกาล ไม่ทราบประวัติการสร้าง แน่ชัด แต่มาพระอาจารย์พบโชค ติสสะวังโส ได้บูรณะและก่อสร้างถาวรวัตถุขึ้นจำนวนมากจึงกลายเป็นศูนย์รวมจิตใจ ของชาวเชียงรายอีกครั้ง
วัดห้วยปลากั้ง
พบโชคธรรมเจดีย์มีทั้งหมด 9 ชั้น ชั้นแรกมีองค์เจ้าแม่กวนอิมปางประทานพรที่มีขนาดใหญ่ แกะสลักด้วยไม้จันทร์หอมที่นำมาจาก ประเทศจีน อินเดีย พม่า ชั้น 2 เจ้าแม่กวนอิมปางประทับยืน ชั้น 3 เจ้าแม่กวนอิมปางประทับนั่ง ชั้น 4 หลวงพ่อพระพุทธโสธรจำลอง ชั้น 5 เจ้าแม่กวนอิมปางพันมือชั้น 6 หลวงปู่โต พรหมรังสี และหลวงปู่ทวด ชั้น 7 พระพุทธรูปปางนาคปรก ถือว่าเป็นชั้นสวรรค์ดาวดึงห์ ปกป้องคุ้มครองปฐพี ชั้น 8 พระสังกัจจายน์หรือพระศรีอริยเมตไตรย เทพเจ้าแห่งความสำเร็จ เทพเจ้าแห่งความร่ำรวย ประทานทรัพย์ ประทานพร ชั้น 9 พระอิศวร ทางขึ้นจะแคบมากสูงชันต้องระวัง พบโชคธรรมเจดีย์ใช้เวลาในการก่อสร้าง 999 วัน
พบโชคเจดีย์จะมีเจ้าแม่กวนอิมหลายปาง ซึ่งแต่ละปางก็จะขอพรแตกต่างกันไป เช่น เจ้าแม่กวนอิมปางเภสัช ขอพรในเรื่องของ การเจ็บป่วยให้หาย เจ้าแม่กวนอิมปางปราบมารสามหน้า ขออโหสิกรรมในเรื่องของเจ้ากรรมนายเวร เจ้าแม่กวนอิมปางประธานยศ-ตำแหน่ง เจ้าแม่กวนอิมปางประทานทรัพย์ ประทานในเรื่องติดขัดเรื่องการเงิน ธุรกิจการค้า เป็นต้น  บริเวณรอบเจดีย์มีพระธาตุจำลอง ประจำปีเกิดให้สักการะบูชา นอกจากพบโชคเจดีย์แล้ว พระอาจารย์พบโชคสร้างองค์เจ้าแม่กวนอิมตามนิมิตองค์ใหญ่ ที่มีขนาด ความสูง 69 เมตร 23 ชั้น ขึ้นด้วยลิฟท์ ชั้น 22-23 มองเห็นภูมิทัศน์ของเชียงราย  นอกจากนี้ยังมี ภัตตาคารพบโชค เป็นโรงอาหาร สำหรับเด็กกำพร้าและคนชราประมาณ 200 กว่าชีวิตที่พระอาจารย์พบโชคท่านอุปการะเลี้ยงดู นอกจากภัตตาคาร พบโชคที่กินฟรี แล้วพบโชคคลีนิคยังรักษาโรคฟรี วัดห้วยปลากั้ง เปิดตั้งแต่เวลา 07.00 น.-21.30 น.ทุกวัน โทร.053-150274, 086-6200647 
การเดินทางไปวัดห้วยปลากั้ง
ใช้เส้นทางจากถนนพหลโยธินฝั่งขาขึ้นสู่จังหวัดเชียงราย ผ่านห้าแยกอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช ผ่านสะพานข้ามแม่น้ำกก ลงสะพานให้ชะลอความเร็ว เลี้ยวซ้ายตรงบริเวณแยกไฟแดงเข้าสู่บ้านใหม่ตำบลริมกก มุ่งหน้าผ่านร้านอาหารเอกโอชาจนเจอ 3 แยก ให้เลี้ยวขวาไปทางตำบลแม่ยาว ผ่านไปประมาณ 1 กิโลเมตร สังเกตุจากป้ายบอกทาง ทางเข้าวัดจะอยู่ฝั่งขวามือของถนน ขับไปตามเส้นทางที่ป้ายบอกไว้ วัดห้วยปลากั้งอยู่ซ้ายมือ

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.paiduaykan.com

Thursday, March 28, 2019

เที่ยววัดร่องเสือเต้น จังหวัดเชียงราย

วัดร่องเสือเต้น จังหวัดเชียงราย








วัดร่องเสือเต้น ตั้งอยู่ที่ชุมชนร่องเสือเต้น ตำบลริมกก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย  ไฮไลต์ที่สำคัญอยู่ที่พระอุโบสถใหม่ที่สร้างขึ้น ด้วยศิลปะแบบไทยประยุกต์ ที่มีศิลปะที่มีความสวยงดงามแปลกตา จากฝีมือการรังสรรค์ของ นายพุทธา  กาบแก้ว หรือ สล่านก ศิลปินท้องถิ่นชาวเชียงราย ซึ่งเคยเป็นลูกศิษย์ของ อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์  และเคยเข้าไปทำงานที่วัดร่องขุ่น  เป็นศิลปะประยุกต์ที่ เป็นเอกลักษณ์ใช้เฉดสีเป็นสีน้ำเงินฟ้าตัดกับสีทอง ลวดลายต่างๆ ที่พริ้วไหวนั้น สล่านกได้จากการเรียนรู้จากอาจารย์ แต่ศิลปะของ อาจารย์จะ ใช้โทนสีขาว และมีการใช้กระจก แต่ของสล่านกดัดแปลงมาเป็นการใช้สีน้ำเงินฟ้าแทนเพื่อให้เป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะ ประติมากรรมบันไดพญานาคที่ใช้เฉดสีเดียวกันนั้นมีความชดช้อยและลวดลายแตกต่างจากประติมากรรมทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด  ได้นำเอารูปแบบผลงานของ อ.ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ พ.ศ.2544 ผู้สร้างบ้านดำ จ.เชียงราย ที่มีความโดดเด่นเรื่อง เขาและงามาประยุกต์ใช้  โดยเฉพาะช่วงเขี้ยวของพญานาคมีความพลิ้วไหว อ่อนช้อย  โดยพระวิหารแห่งนี้ให้นิยามว่าเป็นทิพยสถาน คือ เป็นการสรรเสริญพระพุทธเจ้าทั้งในรูปแบบของประติมากรรมและจิตรกรรม เมื่อคนเข้าไปมีจิตใจดีก็จะรักษาศีลก่อให้เกิดสมาธิ และปัญญาตามมา





ภายในวิหารมีผลงานจิตรกรรมภาพวาดฝาพนังเกี่ยวกับพระพุทธประวัติ โดยใช้เฉดสีน้ำเงินฟ้ามีลวดลายที่อ่อนช้อยงดงาม มีพระประธานสีขาว สูง 6.50 เมตร หน้าตักกว้าง 5 เมตร และอีกหนึ่งที่งดงาม ชื่อว่า “พระพุทธรัชมงคลบดีตรีโลกนาถ" มีพระประธาน สีขาวมุกขนาดหน้าตักกว้าง 5 เมตร สูง 6.5 เมตร โดยมีพระรอดลำพูน จำนวน 88,000 องค์ และแก้วแหวนเงินทองหลายสิ่งถูกฝังอยู่ ใต้พระพุทธรูปองค์นี้ รวมทั้งบริเวณพระเศียรก็ได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งได้รับพระราชทานจาก สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จ พระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก รวมทั้งยังได้รับพระราชทานนามพระพุทธรัชมงคลบดีตรีโลกนาถ ที่หมายความว่า “พระพุทธเจ้าทรงเป็นมงคล เจ้าในความเป็นราชา เป็นที่พึ่งในสามโลก” นอกจากนั้นด้านหลังวิหารมีพระพุทธรูปสีขาวปาง ห้ามญาติ องค์ใหญ่ ประดิษฐานตรงด้านหลัง ถัดไปคือ  "พระธาตุเกศแก้วจุฬามณีห้าพระองค์" มีความสูง 20 เมตร โดยยอดขององค์พระธาตุ ได้บรรจุพระบรมสาริกธาตุ จากสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสงฆปรินายก


การเดินทางไปวัดร่องเสือเต้น
ตั้งอยู่ในเทศบาลนครเชียงราย ห่างจากสะพานแม่น้ำกก 300 เมตร เดินทางถนนสายแม่จัน-แม่สาย เมื่อข้ามสะพานแม่น้ำกกแล้วถึง ทางแยก เลี้ยวซ้านประมาณ 250 เมตร เข้าไปถนนสายแม่ยาวแล้วเลี้ยวซ้ายประมาณ 50 เมตร เข้าสู่วัดร่องเสือเต้น

ขอบคุณแหล่งที่มา www.paiduaykan.com

Tuesday, March 26, 2019

เที่ยวดอยบ่อ เชียงราย

จุดชมวิวดอยบ่อเชียงราย






จุดชมวิวดอยบ่อตั้งอยู่ในต. แม่ยาวอ. สถานที่ตั้งโครงการพระราชดำริดอยบ่อในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมมหาราชวังสถานที่สำหรับการช่วยเหลือพี่น้องชาวเขาได้รับการเรียนรู้เกษตรแผนใหม่สำหรับการแก้ไขปัญหา ได้รับทั้งจุดจบของทะเลบ่อและจุดชมวิวที่สวยงามใกล้กับตัวเมืองเชียงรายเพียง 30 ก การเดินทางระยะไกลและการเดินทางสะดวกสบายสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวที่นี่เพื่อเดินทางไปเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ ไปเที่ยวทะเลหมอกและดินแดนที่ขึ้นสู่ดอยบ่อในช่วง 3 ก.ย. การเดินทางครั้งสุดท้ายและเป็นดินเค็มรถเก๋งหรือรถตู้ไม่สามารถขึ้นไปได้รับการติดต่อจากแม่ยาวรีสอร์ท www.maeyaoresort



การเดินทางไปดอยบ่อ
1. โดยรถยนต์ส่วนตัว

จากศาลากลางจังหวัดเชียงรายผ่านถนนแม่ฟ้าหลวงไปตามถนนสายเชียงราย - บ้านกะเหรี่ยงรวมมิตรถนนระยะทาง 18 กม. ถึงบ้านกะเหรี่ยงรวมมิตรแล้วเดินไปตามถนนดินแดงไปทางทิศใต้ประมาณ 17 กม. รวม 35 ก.ม.

ขอคุณแหล่งที่มา https://www.paiduaykan.com

Sunday, March 24, 2019

เที่ยววัดพระสิงห์ เชียงราย

วัดพระสิงห์ เชียงราย


วัดพระสิงห์  เชียงราย เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ ตั้งอยู่ที่ ถนนท่าหลวง ตำบลเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย มี สาเหตุที่วัดนี้ มีชื่อว่า “วัดพระสิงห์” นั้น น่าจะเป็นเพราะครั้งหนึ่ง เคยเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมือง ของ ประเทศไทย คือ พระพุทธสิหิงค์ หรือที่เรียกกันในชื่อสามัญว่า“พระสิงห์”ปัจจุบันวัดพระสิงห์เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธสิหิงค์ (หรือพระสิงห์) จำลองศิลปะเชียงแสน ปางมารวิชัย ชนิดสำริดปิดทอง หน้าตักกว้าง ๓๗ เซนติเมตร สูงทั้งฐาน ๖๖ เซนติเมตร



พระประธานในพระอุโบสถเป็นพระพุทธปฏิมาศิลปะล้านนาไทย พุทธศตวรรษที่ 21 ปางมารวิชัย ชนิดสำริดปิดทอง หน้าตักกว้าง 204 เซนติเมตร สูงทั้งฐาน 284 เซนติเมตร ประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถมีพุทธลักษณะสง่างาม ประณีต ที่ฐานมีจารึกอักษรธรรม ล้านนาไทยว่า “กุลลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา อพยากตา ธมฺมา” อันหมายถึง ปริศนาธรรมระดับปรมัตถ์ในทางพระพุทธศาสนาที่ระบุว่า สภาวะธรรมทั้งปวงมี 3 ประเภท คือ
ธรรมทั้งหลายที่เป็น “กุศล” ก็มี
ธรรมทั้งหลายที่เป็น “อกุศล” ก็มี ธรรมทั้งหลายที่อยู่นอกเหนือจาก “กุศลและอกุศล”


พระอุโบสถสร้างขึ้นราวปีพ.ศ. 1251 - พ.ศ. 1252 ปีฉลู-ปีขาล เดือน 8 ขึ้น 12 ค่ำ วันเสาร์ เวลา 12.00 น. (พ.ศ. 2432ถึง พ.ศ. 2433) รูปทรงเป็นสถาปัตยกรรมแบบล้านนาไทยสมัยเชียงแสน โครงสร้างเดิมเป็นไม้เนื้อแข็ง และได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ให้มีี สภาพสมบูรณ์ และสวยงามยิ่งขึ้นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2504และครั้งที่ 2 เมื่อพ.ศ. 2533 โดยพระราชสิทธินายก เจ้าอาวาส รูปปัจจุบัน


บานประตูหลวง ทำด้วยไม้แกะสลักจิตกรรมอย่างประณีตวิจิตรบรรจง เป็นปริศนาธรรมระดับปรมัตถ์ ออกแบบโดยศิลปินเอก ผู้มี ผลงานเป็นที่กล่าวขานในระดับโลก นามว่า อ.ถวัลย์ ดัชนีเป็นเรื่องราวของ ดิน น้ำ ลม ไฟ อันหมายถึง ธาตุทั้ง 4 ที่มีอยู่ในร่างกาย คนเราทุกคน

ดิน คือ เนื้อ หนัง กระดูก
น้ำ คือ ของเหลวต่างๆ ที่มีอยู่ในร่างกาย เช่น น้ำ โลหิต ปัสสาวะ
ลม คือ อากาศที่เราหายใจเข้าออก ลมปราณที่ก่อเกื้อให้ชีวิตเป็นไป
ไฟ คือ ความร้อนที่ช่วยในการเผาผลาญอาหารเกิด พลังงาน
แนวคิดของ อ.ถวัลย์ ดัชนี ถ่ายทอดธาตุทั้ง 4 ออกเป็นสัญลักษณ์รูปสัตว์ 4 ชนิด เพื่อการสื่อความหมายโดยให้
ช้าง เป็นสัญลักษณ์ของ ดิน
นาค เป็นสัญลักษณ์ของ น้ำ
ครุฑ เป็นสัญลักษณ์ของ ลม
สิงห์โต เป็นสัญลักษณ์ของ ไฟ


ผสมผสานกันโดยมีลวดลายไทยเป็นส่วนประกอบ ทำให้มีลีลาเฉพาะแบบของ อ.ถวัลย์ ดัชนี งานแกะสลักบานประตูวิหารนี้ พระราชสิทธินายก เจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน ได้มอบความไว้วางใจให้ สล่าอำนวย บัวงามหรือ สล่านวย และลูกมืออีก หลายท่านเป็น ผู้แกะสลัก ใช้เวลาในการแกะสลักเกือบหนึ่งปี ได้บานประตูมีขนาด กว้าง 2.40 เมตร ยาว 3.50 เมตร และหนา 0.2 เมตร ด้วย ลวดลายและลีลาการออกแบบ และฝีมือการแกะสลักเสลาอย่างประณีตบรรจง นับว่า บานประตูนี้ได้ช่วยส่งเสริมความงดงาม ของพระวิหารได้โดดเด่นมากขึ้น
วัดพระสิงห์  เชียงราย วัดพระสิงห์  เชียงราย
พระเจดีย์
พระเจดีย์ เป็นพุทธศิลป์แบบล้านนาไทย สร้างในสมัยเดียวกันกับพระอุโบสถ ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์หลายครั้ง คือ พ.ศ. 2492 ครั้งหนึ่ง โดยท่านพระครูสิกขาลังการ เจ้าอาวาสในขณะนั้น และอีกหลายครั้งในสมัยต่อมา โดยท่านเจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน
พระพุทธบาทจำลอง
พระพุทธบาทจำลองบนแผ่นศิลาทราย มีขนาดกว้าง 60 เซนติเมตร ยาว 150 เซนติเมตร มีจารึกอักษรขอมโบราณ ว่า “กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา อพยากตา ธมฺมา”
หอระฆัง
เป็นสถาปัตยกรรมร่วมสมัยแบบล้านนาไทยประยุกต์ มีระฆังเป็นแบบใบระกาหล่อด้วยทองเหลืองทั้งแท่ง ซึ่งหาดูได้ยากมาก ในปัจจุบัน ขนาดความสูง 25 นิ้ว ยาว 39 นิ้ว หนา 1 นิ้ว ขุดพบบริเวณวัดพระสิงห์ เมื่อพ.ศ. 2438 ปัจจุบันชั้นล่างใช้เป็นหอกลอง
ต้นพระศรีมหาโพธิ์จากพุทธคยา
พลโทอัมพร จิตกานนท์ นำมาจากพุทธคยา ประเทศอินเดีย โดยความอนุเคราะห์จากท่านเอกอัครราชทูตอินเดีย และอาศรม วัฒนธรรมไทย-ภารตะ เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2506 และปลูกเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2506 ต้นพระศรีมหาโพธิ์ เป็นต้นไม้มงคลเนื่องในพระพุทธศาสนา ในฐานที่เป็นต้นไม้ซึ่ง พระโพธิสัตว์ลาดบัลลังก์ประทับในคืนก่อนตรัสรู้ เดิมเรียกกันว่าต้น “อัสสัตถพฤกษ์” ที่ได้ชื่อว่า “ต้นพระศรีมหาโพธิ์” ก็เพราะเป็นต้นไม้ อันเป็นสถานที่ตรัสรู้ “โพธิธรรม” ของพระโพธิสัตว์สิทธัตถะ ซึ่งต่อมาก็คือ สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ต้นสาละลังกา
ต้นสาละลังกาเป็นไม้มงคลเนื่องในพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกับต้นพระศรีมหาโพธิ์ คือ เป็นต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าประทับ สำเร็จสีหไสยาสน์เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพานสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ วัดเบญจมบพิตร กรุงเทพฯ ขณะดำรงสมณศักดิ์ที่ พระธรรมกิตติโสภณ นำมาจากประเทศศรีลังกาและนำมาปลูกไว้ที่วัดพระสิงห์เมื่อพ.ศ. 2512
ประวัิติวัดพระสิงห์ เชียงราย
วัดพระสิงห์ เชียงรายเป็นพระอารามหลวงเก่าแก่แต่โบราณกาล และเป็นศาสนสถานอันเป็นศูนย์รวมใจของ ชาวเชียงรายมา อย่างยาวนาน มูลเหตุที่ได้ชื่อว่าวัดพระสิงห์ นั้นเชื่อกันว่า น่าจะมาจากการที่ครั้งหนึ่ง วัดนี้ เคยเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูป สำคัญคู่บ้านคู่เมืองของไทยในปัจจุบัน คือ พระพุทธสิหิงค์หรือที่เรียกกันในชื่อสามัญว่าพระสิงห์
การเดินทางไปวัดพระสิงห์
1. โดยรถยนต์ส่วนตัว
ใช้เส้นทางเดียวกับการไปวัดพระแก้ว แต่อยู่ถึงก่อนวัดพระแก้ว วัดพระสิงห์อยู่ทางด้านซ้ายมือตรงข้ามกับสำนักงาน ททท ภาคเหนือเชียงราย

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.paiduaykan.com

Saturday, March 23, 2019

อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ จังหวัดกำแพงเพชร

อุทยานแห่งชาติแม่วงก์


อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ มีพื้นที่ครอบคลุมท้องที่อำเภอปางศิลาทองจังหวัดกำแพงเพชรและอำเภอแม่วงก์และอำเภอแม่เปิน จังหวัดนครสวรรค์ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็น แหล่งกำเนิดต้นน้ำลำธาร ตามเทือกเขาสูงชันก่อกำเนิดเป็นน้ำตกที่สวยงาม 4-5 แห่ง ทั้งเป็น ต้นกำเนิดของแม่น้ำแม่วงก์อันเป็นต้นน้ำของ แม่น้ำสะแกกรังนอกจากนี้ยังมีแก่งหินทำให้เกิดน้ำตกเล็กๆ ตามแก่งหินนี้ ตลอดจนมี หน้าผาที่สวยงามตามธรรมชาติสภาพภูมิอากาศ ของอุทยานแห่ง ชาติแม่วงก์ ในช่วงฤดูหนาวเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน - เดือนกุมภาพันธ์ เป็นช่วงที่เหมาะแก่การไปท่องเที่ยว มากที่สุดเพราะอากาศค่อนข้างหนาวเย็น
อุทยานแห่งชาติแม่วงก์
แหล่งท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติแม่วงก์
จุดชมวิวกิ่วกระทิง
ตั้งอยู่หลักกิโลเมตรที่ 81 ไปตามถนนคลองลาน-อุ้มผาง ประมาณ 16 กิโลเมตร จะถึงบริเวณหน้าผา เป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นทัศนียภาพของป่า รอบๆ ได้อย่างสวยงาม
จุดชมวิวขุนน้ำเย็น
อยู่หลักกิโลเมตรที่ 89


ช่องเย็น


ช่องเย็น กม.ที่ 93 อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ 28 กิโลเมตร เป็นจุดสูงสุดของถนนคลองลาน-อุ้มผาง สูง 1,340 เมตร จากระดับน้ำทะเล มีสายลม พัดผ่านและหมอกปกคลุมอยู่เสมอ อากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี และเป็นที่ดูพระอาทิตย์ตกได้อย่างสวยงามอีกจุดหนึ่ง อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียล เนื่องจากบริเวณนี้เเป็นช่องเขาที่มีสายลมพัดผ่านตลอดเวลา จึงถูกขนานนามว่า “ช่องเย็น” ตามสภาพภูมิอากาศของพื้นที่แห่งนี้ เนื่องจากช่องเย็นมีสภาพอากาศที่เย็นและชื้น จึงพบพันธุ์ไม้ที่ชอบความชุ่มชื้นบริเวณนี้ ได้แก่ กล้วยไม้ เฟิร์น มหัสดำ (Treefern) นอกจากนี้ช่องเย็น ยังเป็นถิ่นอาศัยของนกหลากหลายชนิด จึงเป็นแหล่งดูนกที่สำคัญแห่งหนึ่งของเมืองไทย  บริเวณ ช่องเย็น มีบ้านพักและสถานที่กางเต็นท์ไว้บริการ แต่จะต้องเตรียมอุปกรณ์มาเอง คือ ผ้าพลาสติก เสื้อกันหนาว โลชั่นกันแมลง และถุงสำหรับนำขยะลงไปทิ้ง เพราะช่องเย็นไม่สามารถกำจัดขยะได้ ตะเกียงหรือไฟฉาย เพราะไฟฟ้ามีให้ใช้ตั้งแต่เวลา 17.00-21.00 น.  ช่องเย็นยังมีจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงาม คือ จุดชมวิวผาสวรรค์ สามารถชม วิวได้ 360 องศา


แก่งผานางคอย


แก่งผานางคอย อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ 1,400 เมตร เป็นแก่งหินลำห้วยคลองขลุง จากบริเวณแก่งหินเดินขึ้นไปประมาณ 350 เมตรจะถึงน้ำตก ผานางคอย เป็นน้ำตกเล็ก ๆ มี 4 ชั้น และบริเวณใกล้น้ำตกสามารถกางเต็นท์พักแรมได้ด้วย
เขาโมโกจู
ยอดเขาโมโกจู เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ และสูงที่สุดในผืนป่าตะวันตก ห่างจากอุทยานฯ ประมาณ 38 กิโลเมตร เป็นยอดเขา ที่นักนิยมการท่องเที่ยวแบบเดินป่า ปีนเขา ต้องการที่จะไปเยือนสักครั้ง ด้วยความสูง 1,964 เมตร คำว่า โมโกจู เป็นภาษากะเหรี่ยง แปลว่า เหมือนฝนจะตก เนื่องจากบนยอดเขามักถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกและมีอากาศหนาวเย็นตลอดเวลา ผู้สนใจจะไปสัมผัสยอดเขาโมโกจู ต้องเตรียมความ พร้อมของร่างกายเพราะจะต้องขึ้นเขาที่มีความลาดชันไม่ต่ำกว่า 60 องศา ใช้เวลาในการเดินทางไป-กลับ 5 วัน และต้องพักแรมในป่าตามจุดที่กำหนด
น้ำตกแม่รีวา
น้ำตกแม่รีวา อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 21 กิโลเมตร เป็นน้ำตกขนาดใหญ่สวยงามมาก มี 5 ชั้น รถเข้าไม่ถึงเช่นเดียว กันต้องใช้เวลาใน การเดินทางไป-กลับ 2 วัน
น้ำตกแม่กี
เป็นน้ำตกที่ตั้งอยู่บริเวณเดียวกับน้ำตกแม่รีวาและน้ำตกแม่กระสา มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาถนนธงชัย การเข้าไปยังน้ำตกต้องเดินเท้า เวลาไป-กลับ 3-4 วัน
น้ำตกแม่กระสา
น้ำตกแม่กระสา เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ มี 9 ชั้น สูง 900 เมตร อยู่ห่างจากอุทยานฯ ประมาณ 18 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินเท้าไป-กลับ 3-4 วัน
น้ำตกนางนวลและน้ำตกเสือโคร่ง
อยู่บริเวณ กม.ที่ 99 ของถนนคลองลาน-อุ้มผาง น้ำตกนางนวลต้องไต่เขาลงไปประมาณ 200 เมตร สำหรับน้ำตกเสือโคร่ง ต้องเดินไป 1 กิโลเมตร การเดินทางเข้าไปน้ำตกทั้งสองแห่งต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ก่อนทุกครั้ง

บ้านพักและสิ่งอำนวยความสะดวก
อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ มีบ้านพักและสถานที่กางเต็นท์ไว้บริการนักท่องเที่ยว แต่ต้องนำเต็นท์ไปเอง ระบบไฟฟ้า มีใช้บริเวณที่ทำการ อุทยานแห่งชาติ ส่วนบริเวณแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ยังไม่มีไฟฟ้าใช้
ลานกางเต็นท์
นักท่องเที่ยวต้องมาลงทะเบียนที่ศูนย์บริการฯ และแจ้งความประสงค์สำรองที่พักเต็นท์ หรือจองเต็นท์ใดๆก่อนทั้งสิ้น ณ เวลานั้น เท่านั้นการสำรองที่พักเต็นท์สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดและสำรองที่พักเต็นท์ได้กับอุทยานแห่งชาติโดยตรง สำหรับอัตราค่าบริการอยู่ระหว่าง 250-800 บาท ขึ้นอยู่กับชนิด ขนาดของเต็นท์ และอุปกรณ์ประกอบอื่นๆ มีเต็นท์ให้เช่าขนาดเดียว คือ เต็นท์โดม พักได้ 1-3 คน หลังละ 225 บาท ไม่รวมชุดเครื่องนอนใด ชุดเครื่องนอนมีให้เช่า หมอน 10 บาท แผ่นรองนอน 20 บาท และถุงนอน 30 บาท /ชิ้น

บ้านพักออนไลน์ สามารถจองที่พักได้ที่ http://www.dnp.go.th/parkreserve/reservation.asp
สอบถามข้อมูลได้ที่ อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ กม.ที่ 65 ถนนคลองลาน-อุ้มผาง อำเภอคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร 62180 โทรศัพท์ 090 457 929

การเดินทางไปอุทยานแห่งชาติแม่วงก์
จากจังหวัดนครสวรรค์ใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน ถึงแยกโค้งวิไลบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 307+500 ให้เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวง จังหวัดหมายเลข 1242 (ผ่านอำเภอปางศิลาทอง) ไปประมาณ 40 กิโลเมตร เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงจังหวัด หมายเลข 1072 ไปอีก 10 กิโลเมตรจะพบ สี่แยกคลองลาน ให้เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1117 ถนนคลองลาน-อุ้มผาง ประมาณ 15 กิโลเมตร จะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ซึ่งเป็นที่ตั้งบ้านพักโซนที่ 1 (โซนที่ทำการอุทยานแห่งชาติ) และเป็นเส้นทางไปบ้านพักโซนที่ 2 (โซนช่อง)

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.paiduaykan.com

Friday, March 22, 2019

เที่ยวน้ำตกคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร

น้ำตกคลองลาน



 ตั้งอยู่ภายในอุทยานแห่งชาติคลองลาน เป็นน้ำตกชั้นเดียว เกิดจากเทือกเขาขุนคลองลาน ซึ่งมียอดเขาสูง 1,439 เมตร จากระดับน้ำทะเล โดยสายน้ำจะไหลจากลำห้วยต่างๆ ประมาณ 5 สาย ลงสู่แอ่งน้ำกลางหุบเขา เกิดเป็นวังน้ำลึกและลำน้ำยาวประมาณ 3 กิโลเมตร แล้วไหลผ่านโตรกผาสูงราวๆ 100 เมตร ลงมายังแอ่งน้ำด้านล่าง กลายเป็นลำธารเล็กๆ ที่จะไหลไปบรรจบกับแม่น้ำสายอื่น เช่น คลองสวนหมาก คลองไหล คลองขลุง แล้วจึงไหลไปลงแม่น้ำปิงตามลำดับ
เราสามารถลงเล่นน้ำตรงลำธารนี้ได้ค่ะ น้ำเย็นสดชื่นมาก หรือจะปูเสื่อริมลำธารนอนฟังเสียงน้ำกระทบโขดหิน ฟังเรื่อยๆ ก็เพลินดี แถมบรรยากาศรอบน้ำตกยังร่มรื่น มีต้นไม้ขึ้นหนาแน่น ตามโขดหินมีมอสและเฟิร์นขึ้นปกคลุมเขียวขจี เป็นธรรมชาติใต้อ้อมกอดของขุนเขาที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์เลยทีเดียว
ทางอุทยานฯ ไม่อนุญาตให้นำอาหารเข้าไปรับประทานบริเวณน้ำตกนะคะ แต่จะจัดโซนสำหรับนั่งทานเอาไว้ให้ต่างหาก ส่วนใครที่สนใจอยากพักค้างแรม ที่อุทยานฯ ก็มีบ้านพักและจุดกางเตนท์ไว้บริการ โดยน้ำตกคลองลานอยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 800 เมตร
ค่าเข้าอุทยาน : คนละ 40 บาท รถยนต์ 30 บาท มอเตอร์ไซค์ 20 บาท

การเดินทาง :

รถยนต์
จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 ผ่านจังหวัดนครสวรรค์มาประมาณ 17 กิโลเมตร ถึงหนองเบนจะมีทางแยกซ้ายมือเข้าอำเภอลาดยาว จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 1072 สายลาดยาว-คลองลาน ระยะทาง 102 กิโลเมตร ถึงสี่แยกตลาดคลองลานตรงไปอีกประมาณ 6 กิโลเมตร ถึงที่ทำการอุทยานฯ

จากตัวจังหวัดกำแพงเพชร ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 ถึงกิโลเมตรที่ 346 บ้านคลองแม่ลาย ใช้เส้นทางแยกขวาไปอำเภอคลองลาน ตามทางหลวงหมายเลข 1117 สายคลองลาน-อุ้มผางระยะทาง 46 กิโลเมตร ถึงสี่แยกตลาดคลองลานแยกขวามือไปอุทยานฯ อีก 6 กิโลเมตร เป็นทางลาดยางตลอดสาย

รถประจำทาง
นั่งรถโดยสารประจำทางจากสถานีขนส่งจังหวัดหรือรถสองแถวสายกำแพงเพชร-คลองลานจากท่ารถถนนวิจิตร ลงที่สี่แยกตลาดคลองลาน แล้วเหมารถสองแถวหรือมอเตอร์ไซด์ไปยังที่ทำการอุทยานฯ

ขอบคุณแหล่งที่มา https://travel.mthai.com

เที่ยวกำแพงเพชร

เที่ยวอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร

"กรุพระเครื่อง เมืองคนแกร่ง พระแสงฯ ล้ำค่า ศิลาแลงใหญ่
กล้วยไข่หวาน น้ำมันลานกระบือ เลื่องลือมรดกโลก"

อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมืองฯ จังหวัดกำแพงเพชร ทางฝั่งตะวันออกขอแม่น้ำปิง แบ่งออก เป็น ๒ เขต คือ เขตภาย ในกำแพงเมืองมีพื้นที่ ๕๐๓ ไร่ และเขตนอกกำแพงเมืองหรือที่เรียกกันว่า เขตอรัญญิก ตั้งอยู่บนเขาลูกรังขนาดย่อม มีพื้นที่ ๑,๖๑๑ ไร่ อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชรประกอบด้วยกลุ่มโบราณสถานขนาดใหญ่ ซึ่งจะเป็นศาสนสถานเป็นส่วนมากได้รับการ ประกาศให้เป็น "มรดกโลก" ร่วมกับอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยและอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยจากองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2534






วัดพระแก้ว
ตั้งอยู่กลางเมืองกำแพงเพชร เป็นวัดที่สำคัญอยู่ติดกับบริเวณวังเช่นเดียวกับวัดพระศรีสรรเพชญ์ ที่จังหวัดอยุธยาหรือวัดมหาธาตุ กลางเมืองสุโขทัย กำแพงวัดเป็นศิลาแลงกลมทั้งท่อนสูงประมาณเมตรเศษแผนผังของวัด เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนานไปกับกำแพงเพชร กำแพงวัดขาดเป็นตอน ๆ สิ่งก่อ สร้างภายในใช้ศิลาแลงเป็นส่วนใหญ่ ตรงกลางของวัดมีพระเจดีย์กลมแบบลังกาองค์ใหญ่เป็นประธาน ฐานสี่เหลี่ยม ที่ฐานทำเป็นซุ้มคูหาโดย รอบมี สิงห์ยืนอยู่ในคูหา แต่ชำรุดหมด วัดพระแก้วนี้หลังจากขุดแต่งแล้วปรากฏว่า พบฐานเจดีย์แบบต่าง ๆ กัน รวม 35 ฐาน วิหารใหญ่และเล็ก 8 วิหาร ฐานโบสถ์ 3 แห่ง ซึ่งแสดงว่าเป็นวัดใหญ่ และสำคัญมากมาก่อน ปัจจุบันงานนบพระเล่นเพลง และงานวันสารทไทยกล้วยไข่เมืองกำแพงเพชรก็จัด ให้มีขึ้นในบริเวณวัดพระแก้วแห่งนี้



วัดพระธาตุ
อยู่ที่ตำบลนครชุมเป็นวัดใหญ่รองจากวัดพระแก้วที่อยู่ในกำแพงเมืองกำแพงเพชรรูปทรงเป็นแบบพม่า เรียงจากวัดพระแก้วไป ทางทิศตะวันออก มีเจดีย์ประธานก่อด้วยศิลาแลงปนอิฐฐานสี่เหลี่ยมกว้าง 15 เมตร วัดนี้ภายหลังจากการขุดแต่งและบูรณะเจดีย์ใหญ่ เจดีย์รวมด้านใต้แล้ว ปรากฏว่า มีลักษณะคล้ายแผนผังของวัดสระศรี ที่เมืองสุโขทัยเก่า แต่ลักษณะเจดีย์เป็นแบบกำแพง


สระมน
หรือบริเวณวังโบราณ ด้านเหนือวัดพระแก้วมีกำแพงดินสี่เหลี่ยมอยู่เกือบติดกำแพงเมืองด้านเหนือ ภายในกำแพงมีคูล้อม 3 ด้าน ตรงกลางขุดสระมน เป็นที่เข้าใจว่าบริเวณสระมนนี้เป็นวัง ส่วนปราสาทราชฐานไม่มีเหลืออยู่เลย เมื่อขุดลอกสระแล้วตกแต่งบริเวณ พบฐานศิลาแลงบางตอน และได้พบ กระเบื้องมุงหลังคาตกหล่นอยู่ทั่วไป


ศาลพระอิศวร
ตั้งอยู่ด้านหลังศาลจังหวัด เป็นฐานก่อด้วยศิลาแลงรูปสี่เหลี่ยมยกพื้นสูง 1.5 เมตรมีบันไดขึ้นด้านหน้าบนฐานชุกชีอยู่เป็นที่ตั้งของเทวรูปพระอิศวร สัมฤทธิ์ ซึ่งจำลองขึ้นในสมัยที่นายเชาวน์วัศ สุดลาภาเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดเทวรูปพระอิศวรองค์จริง ปัจจุบันตั้งแสดง อยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่ง ชาติกำแพงเพชร รูปพระอิศวรนี้ ในสมัยรัชการที่ 5 ชาวเยอรมันมาเที่ยวเมืองกำแพงเพชร ได้ลักลอบตัดเศียรและพระหัตถ์ส่งลงเรือมากรุงเทพฯ เมื่อ พ.ศ. 2429เจ้าเมืองกำแพงเพชร ได้บอกเข้ามายังกรุงเทพฯจึงโปรดฯ ให้ขอพระเศียรและพระหัตถ์คืน และได้ทรงสร้างพระอิศวรจำลอง ประทานให้ ซึ่งปัจจุบันตั้งแสดงในพิพิธภัณฑ์กรุงเบอร์ลิน



กำแพงเมืองกำแพงเพชร

เป็นกำแพงชั้นเดียวสร้างเป็นเชิงเทินมี 2 ตอน ตอนล่างเป็นมูลดินสูงขึ้นไป 3-4 เมตร ตอนบนก่อด้วยศิลาแลงเป็นเชิงเทินมีใบเสมาและเจาะ ตรงใบเสมา ไว้สำหรับมองข้าศึก

โบราณสถานน่าสนใจในเขตโบราณสถานนอกเมือง หรือ เขตอรัญญิก


วัดพระนอน

กำแพงศิลาแลงปักล้อมรอบวัดไว้ทั้ง 4 ด้าน ด้านหน้าวัดมีบ่อน้ำสี่เหลี่ยม มีห้องอาบน้ำและศาลาน้ำ ฐานและเสาเป็นศิลาแลงมีทางเท้าปู ด้วยศิลาแลง มีโบสถ์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ด้านหน้า ด้านหลังเป็นวิหารพระนอน ก่อสร้างด้วยเสาศิลาแลงขนาดใหญ่ หลักฐานทางประติมากรรม ที่พบคือ ใบเสมารูปเทพพนม พาลีกับทรพี สันนิษฐานว่าสลักขึ้นในสมัยอยุธยา 



วัดพระสี่อิริยาบถ
หรือวัดพระยืน วัดนี้มีบ่อน้ำและที่อาบน้ำอยู่หน้าวัดเช่นเดียวกับวัดพระนอน กำแพงเป็นศิลาแลงปักตั้งล้อม 4 ด้าน ด้านหน้าวัดมีวิหาร ขนาดใหญ่ ยกฐานสูง 2 เมตร มีเสาลูกกรงเป็นศิลาแลงเหลี่ยมและมีทับหลังบนมุขหน้าวิหาร สิ่งสำคัญของวัดได้แก่ มณฑปจตุรมุข แต่ละทิศประดิษฐาน พระพุทธรูป 4 ปาง คือ เดิน นั่ง ยืน นอน อยู่โดยรอบทั้ง 4 ทิศตามลำดับ ปัจจุบันเหลือเพียงพระยืนขนาดใหญ่ที่ สวยงาม พระพักตร์เป็นลักษณะ พระพุทธรูปศิลปะสุโขทัยแบบกำแพงเพชรคือ พระนลาฏกว้าง พระหนุเสี้ยมป็นพระพุทธศิลปะแบบสุโขทัย สกุลช่างกำแพงเพชร ซึ่งหาดูได้ยาก


วัดพระสิงห์

ถัดจากวัดพระสี่อิริยาบถไปทางทิศเหนือประมาณ 100 เมตร สันนิษฐานว่าใช้เวลาสร้างถึง 2 สมัย คือ สมัยสุโขทัยและสมัยอยุธยา ผังรวมของวัดแบ่ง เขตพุทธาวาสให้อยู่ในกลุ่มกลางล้อมรอบด้วยเขตสังฆาวาสหรือกุฏิสงฆ์ โดยมีพระเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยมมีซุ้มทั้ง 4 ด้านเป็นประธาน ด้านหน้าเป็น พระอุโบสถขนาดใหญ่ ยกฐานประทักษิณสูง บนฐานประทักษิณนี้ประดิษฐานพัทธสีมาไว้ทั้งแปดทิศ มุขด้านหน้าของฐานประทักษิณมีรูปสิงห์ รูปนาค ประดับ



วัดช้างรอบ
เป็นวัดที่สร้างบนยอดเนิน มีพระเจดีย์ทรงลังกา ซึ่งยอดหักพังหมดแล้ว มีบันไดทางขึ้นทั้งสี่ด้าน ที่ชั้นฐานลานประทักษิณประดับ ด้วยช้างทรงเครื่อง ครึ่งตัว จำนวน 68 เชือก ระหว่างช้างแต่ละเชือกมีภาพปั้นรูปลายพรรณพฤกษาในพระพุทธศาสนา เช่น ต้นโพธิ์ และต้นสาละ เป็นต้น



วัดอาวาสใหญ่
เป็นวัดที่ก่อสร้างใหญ่โต มีเจดีย์และวิหารมาก อยู่ริมถนนไปอำเภอพรานกระต่าย ห่างจากประตูโคมไฟไปทางเหนือประมาณ 3 กิโลเมตร กำแพงวัด เป็นศิลาแลง กลางวัดมีฐานพระเจดีย์แปดเหลี่ยมใหญ่กว้างด้านละ 16 เมตร ด้านหน้าวัดอาวาสใหญ่ ริมถนนมีบ่อสี่เหลี่ยมใหญ่ ขุดลงไปในพื้นศิลาแลง กว้าง 9 เมตร ยาว 17 เมตร ลึก 7-8 เมตร เรียกว่า "บ่อสามแสน" และตรงด้านหน้าเจดีย์ประธานด้านทิศเหนือ มีบ่อศิลาแลงขนาดใหญ่เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีฐานวิหารทั้งใหญ่และเล็กรวม 10 วิหาร ฐานเจดีย์รวม 9 ฐาน

วัดพระบรมธาตุ
เป็นวัดอยู่ริมแม่น้ำปิง ฝั่งตะวันตกกลางเมืองนครชุมมีเจดีย์แบบพม่าอยู่ 1 องค์ ด้านใต้มีพระอุโบสถมีพระพุทธรูป สัมฤทธิ์สมัยสุโขทัย และอยุธยา อยู่หลายองค์ วัดนี้สันนิษฐานว่าเดิมคงเป็นเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์อย่างศิลปะสุโขทัย แต่ปัจจุบันเป็นเจดีย์แบบพม่า เนื่องจากเศรษฐีพม่าผู้หนึ่ง ได้มาบูรณะไว้เมื่อประมาณ 100 ปี มาแล้ว

วัดซุ้มกอ
 เป็นวัดขนาดเล็กอยู่ทางทิศใต้ของเมืองนครชุม เจดีย์ประธานเป็นเจดีย์ฐานแปดเหลี่ยม มีองค์ระฆังแบบลังกา เคยขุดพบพระเครื่อง "ซุ้มกอ" เป็น จำนวนมาก

กำแพงป้อมทุ่งเศรษฐี
ตั้งอยู่บนถนนพหลโยธิน ก่อนถึงตัวเมืองกำแพงเพชรเล็กน้อย จะเห็นกำแพงศิลาแลงเป็นป้อม มีใบเสมาเหลืออยู่ ป้อมก่อด้วยศิลาแลงกว้าง 83.5 เมตร รูปสี่เหลี่ยมสูงประมาณ 6 เมตร มีประตูทางเข้าตรงกลางป้อม 4 ด้าน ทางด้านในมีเชิงเทินพอเดินหลีกกันได้ ตรงฐานป้อม ใต้เชิงเทินเป็นห้องมีทางเดิน ต่อต่อกันได้ ตรงมุมมีป้อมยื่นออก 4 มุม มีรูมองอยู่ติดกับพื้น การก่อสร้างป้อมนี้มี ความมั่นคงมาก แต่ด้านทิศเหนือถูกรื้อออกเสียด้านหนึ่ง จึงเหลือ เพียง 3 ด้าน บริเวณนี้มีวัดเก่าแก่หลายวัด เช่น วัดหนองพิกุล วัดซุ้มกอ วัดหนองลังกา เป็นต้น ที่สำคัญต่อนักเลงพระก็คือ เป็นบริเวณที่พบพระเครื่อง ลือ ชื่อของเมืองกำแพงเพชร เช่น พระซุ้มกอ ลีลาเม็ดขนุน ทุ่งเศรษฐี หรือกำแพงเขย่ง เป็นต้น

วัดเจดีย์กลางทุ่ง
ตั้งอยู่ตรงข้ามกับสถานีขนส่งกำแพงเพชร เป็นวัดที่ตั้งอยู่นอกเมืองนครชุมทางทิศใต้ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ก่อสร้างด้วยอิฐ มีวิหารและเจดีย์ ทรงดอกบัวตูมเป็นเจดีย์ประธาน มีการจัดผังวัดแบบ อุทกสีมา คือใช้แนวคูน้ำโดยรอบเพื่อแสดงขอบเขตของวัด ซึ่งเป็นผังที่นิยมมากในสมัยสุโขทัย

วัดหนองพิกุล
เป็นวัดสำคัญของเมืองนครชุม ส่วนหลังคาไม่ปรากฎให้เห็น แต่ผนังที่เหลืออยู่ในสภาพสมบูรณ์ก่อด้วยอิฐฉาบปูนมีลวดลายประดับ เป็นโบราณสถาน ที่ได้รับอิทธิพลจากลังกา
ผู้สนใจเข้าชมได้ทุกวัน เวลา 08.00 - 17.00 น. ค่าเข้าชม ชาวไทย 10 บาท ชาวต่างชาติ 40 บาท สำหรับผู้ที่จะนำรถเข้าชมบริเวณอุทยานฯ จะต้อง เสียค่าผ่านประตูคันละ 50 บาท การใช้บริการรถไฟฟ้านำชมสามารถติดต่อโดยตรงที่โทรศัพท์ 0 5571 1044 ไม่เว้นวันหยุด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทรศัพท์ 0 5571 1921, 0 5571 2528

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.paiduaykan.com