CASINO ONLINE

CASINO ONLINE
CASINO ONLINE

Monday, April 29, 2019

เที่ยวชมพระธาตุพนม จังหวัดนครพนม

พระธาตุพนม


พระธาตุพนม  ประดิษฐานอยู่ ในนอำเภอธาตุพนม ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร  เป็นพระธาตุประจำปีเกิดของปีวอกและผู้ที่เกิดวันอาทิตย์   พระธาตุพนมไม่เพียงแต่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวนครพนมเท่านั้นยังเป็นที่ เคารพของ ชาวไทยภาคอื่น ๆ และชาวลาวอีกด้วย ว่ากันว่าถ้าใครได้มานมัสการพระธาตุครบ 7 ครั้ง จะถือว่าเป็น “ลูกพระธาตุ” เป็นสิริมงคลแก่ชีวิตและจะมีความเจริญรุ่งเรือง หรือแม้แต่การได้มากราบพระธาตุพนม 1 ครั้ง ก็ถือ เป็นมงคลแก่ชีวิตแล้ว

ขอบคุณแหล่งที่มา www.paiduaykan.com

Sunday, April 28, 2019

เที่ยว วัดโนนกุ่ม หรือวัดหลวงพ่อโต

วัดโนนกุ่ม (วัดสรพงษ ์)



วัดโนนกุ่ม หรือวัดหลวงพ่อโต  ตั้งอยู่ริมถนนมิตรภาพ อำเภอสีคิ้ว ห่างจากตัวเมืองนครราชสีมาประมาณ 42 กิโลเมตร เป็นที่ ประดิษฐานรูปหล่อทองเหลืองรมดำ หลวงพ่อโต (สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยผู้ที่ก่อตั้ง วัดเนินกุ่ม ก็คือ คุณสรพงษ์ ชาตรี ดาราภาพยนตร์ชื่อดังในประเทศไทย โดยผู้ที่มาวัดนี้นอกจากจะได้สักการะ ขอพรจาก หลวงพ่อโต แล้ว ยังได้สัมผัสกับสิ่งก่อสร้างภายในวัดและสวนหย่อมที่ตกแต่งไว้อย่างสวยงาม
วัดโนนกุ่ม (วัดสรพงษ ์)
ภายในวัดแห่งนี้นอกจากเราจะมากราบไหว้หลวงพ่อโต เพื่อความศิริมงคลและยังมีโรงอาหารหรือโรงทานให้รับประทานอาหาร และบริจาค เงินตามกำลังศรัทธา บริเวณโดยรอบจะมีอุทยานสวนหย่อมต่างๆ ที่สวยงามและร่มรื่นให้นั่งพักผ่อน
วัดโนนกุ่ม (วัดสรพงษ ์)
รายละเอียดสอบถามได้ที่ มูลนิธิสมเด็จพระพุฒาจารย์โต โทร. 081-6401281, 081-9110622

การเดินทางไปวัดโนนกุ่ม (วัดสรพงษ์)
วัดโนนกุ่มนี้ตั้งอยู่ริมถนนมิตรภาพฝั่งขาเข้าโคราช ในเขตอำเภอสีคิ้ว อย่างห่างจากตัวเมืองโคราชประมาณ 45 กิโลเมตร  ถ้าเดินทางจาก กทม.ไปทางอีสาน ก่อนถึงโคราช 45 กม.ในเขต อ.สีคิ้ว ตามถนนมิตรภาพฝั่งเข้าเมืองโคราชจากกรุงเทพ พอถึง อำเถอสีคิ้ว ขับรถผ่านตัวเมืองมาประมาณ 1 กม. จะเห็นได้แต่ไกล เพราะมหาวิหารหลังใหญ่มาก วัดหลวงพ่อโตอยู่ด้านช้ายมือ         หากเดินทางมาจากโคราช ตามถนนมิตรภาพ  ต้องไปกลับรถในตัวเมืองสีคิ้วเพื่อกลับเข้าเมืองโคราชออกจากตัวเมืองประมาณ 1 กม. วัดหลวงพ่อโตอยู่ด้านช้ายมือ

ขอบคุณแหล่งที่มา www.paiduaykan.com

Friday, April 26, 2019

แวะเที่ยว สระน้ำผุด ปากช่อง

สระน้ำผุด ปากช่อง

สระน้ำผุด หรือ บ่อน้ำพุธรรมชาติบ้านท่าช้าง ตั้งอยู่ในตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง เป็นตาน้ำที่มีน้ำไหลมาตลอดปี เป็นตาน้ำที่มี น้ำผุดออกมา โดยธรรมชาติน้ำที่ผุดขึ้นมาเป็นน้ำฝนที่ตกไปอยู่ในใต้ดินและก่อนที่จะผุดขึ้นมาจากผิวดินก็ได้รับการกรองจากก้อนหิน ที่มีแคลเซียมคาร์บอเนตสูง ทำให้น้ำมีความใส ลักษณะของน้ำมีสีฟ้าเขียวมีคุณสมบัติความเป็นด่างของน้ำนั่นเองคล้ายกับ สระมรกตที่กระบี่ ของน้ำจะใสมาก น้ำผุดนี้จะมีบ่อหรือชั้นลดหลั่นกัน ไปเป็นบ่อๆ มีประมาณ 4 สระ เชื่อมต่อกัน มีการสร้างฝายกันน้ำ เป็นน้ำตกสามารถลงเล่นน้ำได้ยกเว้นบริเวณที่เป็นตาน้ำจะไม่อนุญาติให้ลงเล่น โดยมีถนนทางเดินเล็กๆ เดินเข้าไป มีสะพานข้ามไป ฝั่งตรงข้าม ทัศนียภาพรอบบ่อน้ำ เต็มไปด้วยต้นไม้เป็นร่มเงา เขียวขจี เหมาะสำหรับมาปิคนิคและนั่งพักผ่อน บริเวณหน้าทางเข้ามี ร้านขายอาหาร ประเภทส้มตำ ไก่ย่างอยู่หลายร้านสามารถ นำเข้าไปทานข้างในได้ แต่ห้ามนำเครื่องดื่มแอลกฮอลล์เข้าไปดื่ม สระน้ำผุดให้เข้าชมฟรีโดย ไม่เสียค่าใช้จ่าย



การเดินทางไปสระน้ำผุด

สระน้ำผุดจะตั้งอยู่เส้นถนนธนรัชต์ทางไปเขาใหญ่หากมาทางเขาใหญ่ ประมาณกม. 15 จะมีซอยเล็กๆให้เลี้ยวซ้ายไปทาง สถานีตำรวจตำบลหมูสี ผ่านไปทางหมู่บ้านท่าช้างจะเจอแยก เลี้ยวขวาแล้วตรงไปจะพบกับที่จอดรถจากนั้นเดินเข้าไปในสวนเพียง ไม่กี่สิบเมตรก็จะพบกับบ่อน้ำผุดดธรรมชาติ

ขอบคุณแหล่งที่มา www.paiduaykan.com

Thursday, April 25, 2019

สถานที่ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ศาลหลักเมืองบุรีรัมย์

ศาลหลักเมืองบุรีรัมย์  


ศาลหลักเมืองบุรีรัมย์ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองบุรีรัมย์ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองที่เคารพสักการะบูชาและเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ของชาวบุรีรัมย์ และจังหวัดใกล้เคียง  แต่เดิมเป็นเพียงศาลที่มีขนาดเล็กๆ แต่พอเริ่มชำรุดทรุดโทรม ทางกลุ่มข้าราชการ พ่อค้า ประชาชนชาวบุรีรัมย์ จึงเห็นควรให้สร้างศาลหลักเมืองขึ้นมาใหม่ ในปี พ.ศ. 2548 โดยให้ทางกรมศิลปากร ช่วยทำการออกแบบ ในรูปแบบศิลปะขอมโบราณที่เลียนแบบมาจากปราสาทหินพนมรุ้ง เพื่อเป็นการบ่งบอกเอกลักษณ์และตัวตนของคนชาวบุรีรัมย์ ได้อย่างชัดเจน และที่สำคัญเป็นการรักษาวัฒนธรรมอันดีงามไว้ในคนรุ่นหลังได้สืบทอดกันต่อไป ลักษณะของศาลหลักเมืองจะเป็น เหมือนองค์ปรางค์มียอดทั้งหมด 5 ชั้น แต่ละชั้นประดับกรีบขนุน และ เทพประจำทิศเพื่อปกป้องรักษาทิศต่างๆ องค์เรืองธาตุเป็นที่ ประดิษฐานพระหลักเมืองชักมุมออกทั้ง 4 ด้าน อันเป็นความหมายถึงการกระจายความเป็นหลักฐานความมั่นคงออกไปทั้ง 4 ทิศ ส่วนยอดศาลพระหลักเมืองติดตั้งรูปดอกบัวเป็นสเตนกลาสประดับทองเพื่อนำแสงเข้าสู่หลักเมือง ภายในตัวศาลได้ตั้งเสาหลักเมือง ตรงกลางองค์ปรางค์ พร้อมกับอันเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระเสื้อเมือง เทพารักษ์ และพระทรงเมืองเพื่อมาปกปักษ์รักษาคุ้มครอง ป้องกัน ให้บ้านเมือง อยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข ความแปลกประการหนึ่งคือ เสาหลักเมืองบุรีรัมย์ที่ปรากฏ มีอยู่ 2 ต้น มีข้อสันนิษฐานว่า เสาต้นที่ 1 (ต้นเอียง) เป็นเสาหลักเมืองที่ตั้งขึ้นเมื่อสร้างเมืองแปะ ส่วนเสาหลักเมืองต้นที่ 2 น่าจะเป็นเสาหลักเมืองที่ตั้งขึ้นเมื่อมีฐานะเป็น จังหวัดบุรีรัมย์และสร้างใกล้ชิดติดกัน

ด้านข้างศาลหลักเมืองยังมีศาลเจ้าจีน เพื่อให้ชาวไทยเชื้อสายจีนได้มากราบไหว้ในบริเวณเดียวกัน บริเวณศาลหลักเมืองแห่งนี้ เคยเป็นจุดที่สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้ใช้เป็นจุดพักรบ และเห็นว่าบริเวณนี้เป็นทำเลที่เหมาะสม มีสระน้ำ มีต้นแปะ ขนาดใหญ่ เลยโปรดเกล้าให้ตั้งชื่อเมืองนี้ว่า “เมืองแปะ” ก่อนที่จะมาเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองบุรีรัมย์ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ของ จังหวัดบุรีรัมย์ ตอนปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา ปรากฏชื่อว่าเป็นเมืองขึ้นของเมืองนครราชสีมาและปรากฏชื่อต่อมาในสมัยกรุงธนบุรี ถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ว่าบุรีรัมย์มีฐานะเป็นเมือง ๆ หนึ่ง จนถึง พ.ศ. 2476 ได้มีการจัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคใหม่ จึงได้ชื่อเป็น “จังหวัดบุรีรัมย์” มาจนถึงทุกวันนี้  ศาลหลักเมืองบุรีรัมย์ ตั้งอยู่ที่ถนนจิระ เปิดให้คนทั่วไปเข้าไปสักการะกันได้ตั้งแต่ 6 โมงเช้า ถึง 5 โมงเย็น ภายในอนุญาติให้ถ่ายภาพได้

ขอบคุณแหล่งที่มา www.paiduaykan.com

แหล่งท่องเที่ยวทางโบราณสถานอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง

อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง


อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง หรือปราสาทหินพนมรุ้ง เป็นหนึ่งในปราสาทหินในกลุ่มราชมรรคา เป็นโบราณสถานที่ตั้งอยู่บน เขาพนมรุ้งตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 2 ตำบลตาเป๊ก อำเภอเฉลิมพระเกียรติ ห่างจากตัวเมืองบุรีรัมย์ลงมาทางทิศใต้ประมาณ 77 กิโลเมตร ประกอบไปด้วยโบราณสถานสำคัญ ซึ่งตั้งอยู่บนยอดภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้ว สูงประมาณ 200 เมตรจากพื้นราบ (ประมาณ 350 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง) คำว่า พนมรุ้งนั้น มาจากภาษาเขมร คำว่า วนํรุง แปลว่าภูเขาใหญ่ ในเขตอำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์ สร้างขึ้นโดยมีรูปแบบของศิลปะเขมรโบราณที่มีความงดงามมากที่สุดแห่งหนึ่ง ความงดงามและความยิ่งใหญ่ ของปราสาทแห่งนี้ปรากฏให้เห็นได้ในรูปของงานสถาปัตยกรรม การจำหลักลวดลายการเลือกทำเลที่ตั้งบนยอดเขามีแผนผัง ตามแนวแกนที่มีองค์ประกอบของสิ่งก่อสร้าง ต่าง ๆ เรียงตัวกันเป็นแนวเส้นตรงพุ่งเข้าหาจุดศูนย์กลาง คือ ปราสาทประธาน จากงาน ก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่นี้ชวนให้เกิดความสงสัยและอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่งว่าคนในสมัยโบราณสร้างปราสาทหลังนี้ขึ้นมาได้อย่างไร   ปัจจุบันปราสาทหินพนมรุ้งกำลังอยู่ในเกณฑ์กำลังพิจารณาเป็นมรดกโลก เช่นเดียวกับปราสาทหินในกลุ่มราชมรรคา ปราสาทหิน พนมรุ้งเป็นหนึ่งในปราสาทหินขอมของไทยที่มีชื่อเสียงมากที่สุด เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของจังหวัดบุรีรัมย์และ ถือเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของจังหวัดบุรีรัมย์ รวมถึงเป็นภาพพื้นหลังตราสัญลักษณ์ของสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ดอีกด้วย


ปราสาทหินพนมรุ้งสร้างขึ้นเนื่องในศาสนาฮินดูลัทธิไศวะซึ่งนับถือพระศิวะเป็นเทพเจ้าสูงสุดเพื่อเป็นเทวาลัยที่ประทับของพระศิวะ พระองค์ที่ประทับอยู่บนยอดเขาไกรลาส ดังนั้นการที่ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นบนยอดเขาพนมรุ้ง จึงเป็นการสะท้อนถึงการนับถือ ศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกายได้เป็นอย่างดี เขาพนมรุ้งจึงเปรียบเสมือนเขาไกรลาสที่ประทับของพระศิวะ องค์ประกอบและแผนผังของ ปราสาทพนมรุ้งได้รับการออกแบบให้มีลักษณะเป็นแนวเส้นตรง และเน้นความสำคัญเข้าหาจุดศูนย์กลาง นั่นคือปราสาทประธาน ซึ่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออกด้านขวาของบันไดทางขึ้นสู่ศาสนสถานมีอาคารที่เรียกว่าพลับพลาอาคารนี้อาจจะเป็นอาคารที่เรียกกัน ในปัจจุบันว่าพลับพลาเปลื้องเครื่องซึ่งเป็น ที่พักจัด เตรียมองค์ของพระมหากษัตริย์ ก่อนเสด็จเข้าสู่การสักการะเทพเจ้าหรือประกอบ พิธีกรรมในบริเวณศาสนสถาน
สะพานนาคราช
เป็นทางเดินทั้งสองข้างประดับด้วยเสามียอดคล้ายดอกบัวตูมเรียกว่าเสานางเรียงจำนวนข้างละ 35 ต้น ทอดตัวไปยังสะพานนาคราช ซึ่งผังกากบาทยกพื้นสูง ราวสะพานทำเป็นลำตัวพญานาค 5 เศียร สะพานนาคราชนี้ ตามความเชื่อเป็นทางที่เชื่อมระหว่างโลกมนุษย์ กับเทพเจ้า สิ่งที่น่าสนใจคือ จุดกึ่งกลางสะพาน มีภาพจำหลักรูปดอกบัวแปดกลีบ อาจหมายถึงเทพประจำทิศทั้งแปด ในศาสนาฮินดู หรือเป็นจุดที่ผู้มาทำการบูชา ตั้งจิตอธิษฐาน จากสะพานนาคราชชั้นที่ 1 มีบันไดจำนวน 52 ขั้นขึ้นไปยังลานบนยอดเขา ที่หน้าซุ้มประตูระเบียงคดทิศตะวันออก มีสะพานนาคราชชั้นที่ 2 ระเบียงคดก่อเป็นห้องยาวต่อเนื่องกัน เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ารอบลาน ปราสาทแต่ไม่สามารถเดินทะลุถึงกันได้ เพราะมีผนังกั้นอยู่เป็นช่วง ๆ มีซุ้มประตูกึ่งกลางของแต่ละด้าน ที่มุมระเบียงคดทำเป็นซุ้ม กากบาท ที่หน้าบันของระเบียงคดทิศตะวันออกด้านนอก มีภาพจำหลักรูปฤๅษีซึงหมายถึงพระศิวะในปางที่เป็นผู้รักษาโรคภัยไข้เจ็บ และอาจรวมหมายถึง นเรนทราทิตย์ ผู้ก่อสร้างปราสาทประธานแห่งนี้ด้วย


ตัวปราสาทประธาน
ประกอบด้วยตัวปราสาทประธานซึ่งตั้งอยู่ตรงศูนย์กลางของลานปราสาทชั้นใน มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุมมณฑป คือ ห้องโถงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เชื่อมอยู่ทางด้านหน้าที่ส่วนประกอบของปรางค์ประธานตั้งแต่ฐานผนังด้านบนและด้านล่าง เสากรอบประตู เสาติดผนัง ทับหลัง หน้าบัน ซุ้มชั้นต่าง ๆ ตลอดจนกลีบขนุน ก่อด้วยหินทรายสีชมพูมีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุมกว้าง 8.20 เมตร สูง 27 เมตร ด้านหน้าทำเป็นมณฑปโดยมีอันตราละหรือฉนวนเชื่อมปราสาทประธานนี้ เชื่อว่า สร้างโดยนเรนทราทิตย์ซึ่ง เป็นผู้นำ ปกครอง ชุมชนที่มีปราสาทพนมรุ้งเป็นศูนย์กลางราว พุทธศตวรรษที่ 17 ภายในเรือนธาตุตรงกึ่งกลาง เรียกว่าห้องครรภคฤหะเป็นที่ประดิษฐานรูป เคารพที่สำคัญที่สุด ในที่นี้คือ ศิวลึงค์ซึ่งแทนองค์พระศิวะ เป็นที่น่าเสียดายว่า ประติมากรรมชิ้นนี้ได้สูญหายไป เหลือเพียงแต่ท่อโสมสูตร คือร่องน้ำมนต์ที่ใช้รับน้ำสรงจากการสักการะศิวลึงค์เท่านั้น

นอกจากความสวยงามของตัวปราสาทแล้วเรายังได้เพลิดเพลินไปกับการชมศิลปะขอมโบราณผ่านภาพแกะสลักโบราณที่ปราณีตละเอียดอ่อน ของหน้าบันและทับหลัง มีภาพจำหลักแสดงเรื่องราวในศาสนาฮินดู เช่น ศิวนาฏราช (ทรงฟ้อนรำ) ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์อวตารของ พระนารายณ์ เช่น พระรา(ในเรื่องรามเกียรติ์) หรือพระกฤษณะ ภาพพิธีกรรม ภาพชีวิตประจำวันของฤๅษีเป็นต้น โดยเฉพาะ ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ เป็นทับหลังที่ถูกขโมยไปเมื่อราวปีพ.ศ. 2503และได้กลับคืนมาในปีพ.ศ. 2531

ทางเดินด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือและทิศตะวันตกเฉียงใต้ของปราสาทประธานมีปราสาทอิฐสององค์และปรางค์น้อย จากหลักฐานทาง ด้านสถาปัตยกรรมและศิลปกรรม กล่าวได้ว่าปราสาททั้งสามหลังได้สร้างขึ้นก่อนปราสาทประธานราวพุทธศตวรรษที่ 15 และ 16 ตามลำดับ ส่วนทางด้านหน้าของปราสาทประธานคือทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และทิศตะวันออกเฉียงใต้ มีอาคารสองหลังก่อด้วย ศิลาแลงเรียกว่าบรรณาลัยซึ่งเป็นที่เก็บรักษาคัมภีร์ทางศาสนา ก่อสร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 18 นอกจากนี้ยังมีฐานปรางค์ก่อด้วยอิฐ ซึ่งมีอายุเก่าลงไปอีก คือประมาณพุทธศตวรรษที่ 15 อยู่ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือขององค์ประธาน และที่มุมทิศตะวันออก ฉียง เหนือ และทิศตะวันออกเฉียงใต้มีอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าก่อด้วยศิลาแลง อายุราวพุทธศตวรรษที่ 18 ร่วมสมัยกันกับพลับพลาที่สร้าง ด้วยศิลาแลงข้างทางเดินที่เรียกว่ารงช้างเผือก

ในวันที่ 3-5 เมษายน และ 8-10 กันยายน ของทุกปี ดวงอาทิตย์ขึ้น ส่องแสงลอดประตูทั้ง 15 บาน ช่องชาวบ้านจะเดินเท้าขึ้น มาเพื่อชม ความอลังการที่ผสานระหว่างธรรมชาติและสิ่งก่อสร้างของบรรพชน นอกจากนี้ในวันที่ 6-8 มีนาคม และ 6-8 ตุลาคม ของทุกปี ดวงอาทิตย์ก็ตกส่องแสงลอดประตูทั้ง 15 บาน เช่นกัน มีความเชื่อกันว่าปรากฏการณ์นี้เป็นปรากฏการณ์อันศักดิ์สิทธิ์ การรับแสง อาทิตย์ที่สอดส่องผ่านศิวลึงค์ ซึ่งตั้งอยู่กลางปราสาทเขาพนมรุ้ง เป็นการเสริมพลังชีวิตและความเป็นสิ่งมงคลกับตนเองและครอบครัว ของผู้ที่พบเห็น
การเดินทางไปที่อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง
สามารถเลือกเดินทางได้ 2 เส้นทางออกจากตัวจังหวัดบุรีรัมย์ ดังนี้
- ใช้เส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 218 (บุรีรัมย์-นางรอง) เป็นระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตร จากนั้นให้เลี้ยวซ้าย ไปตามทางหลวง แผ่นดินหมายเลข 24(สีคิ้ว-อุบลราชธานี) ไปจนถึงหมู่บ้านตะโก ประมาณ 14 กิโลเมตร แล้วจึงเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 2117 ผ่านบ้านตาเป๊ก อำเภอเฉลิมพระเกียรติอีกประมาณ 12 กิโลเมตร ก็จะถึงอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง
- ใช้เส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 219 (บุรีรัมย์-ประโคนชัย) เป็นระยะทางประมาณ 44 กิโลเมตร ถึงตัวอำเภอประโคนชัย จะเห็นทางแยกที่จะไปอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง ซึ่งใช้เวลาเดินทางอีกประมาณ 21 กิโลเมตร โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 2075 และเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 2117 ก็จะถึงอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง

การเดินทางไปชมปราสาทหินพนมรุ้งในกรณีที่ท่านมิได้นำรถยนต์ไปเอง ต้องใช้บริการของบริษัทขนส่ง จำกัด แล้วลงที่อำเภอนางรอง จะมีรถสองแถวรับจ้างเหมาขึ้นปราสาทพนมรุ้ง คันละประมาณ 200-300 บาท เมื่อไปถึงปราสาทพนมรุ้งสามารถขึ้นได้ 2 ทาง คือ ด้านหน้าปราสาทโดยจอดรถไว้ที่ลานจอดรถแล้วเดินขึ้นบรรไดไปประมาณ 400 เมตร และอีกทางคือด้านหลังตัวปราสาทต้องนำรถขึ้น โดยเสียค่าบริการ แล้วเดินขึ้นไปนิดเดียวประมาณ 100 เมตร ซึ่งจะเดินน้อยกว่าขึ้นด้านหน้า

ขอบคุณแหล่งที่มา www.bing.com

Wednesday, April 24, 2019

เที่ยวน้ำตกถ้ำพระ จังหวัดบึงกาฬ

น้ำตกถ้ำพระ บึงกาฬ




น้ำตกถ้ำพระ หรือน้ำตกถ้ำพระภูวัว ตั้งอยู่บริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว บ้านถ้ำพระ ตำบลโสกก่าม อำเภอเซกา จังหวัดบึงกาฬ เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ 3 ชั้น ที่ไหลอยู่บนภูเขาหินทรายขนาดใหญ่  เป็นสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจของนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมความงามของน้ำตก นอกจากนี้ยังมีแอ่งน้ำขนาดใหญ่และร่องน้ำที่สามารเล่นเป็นสไลเดอร์ได้ ทำให้เล่นน้ำกันในลำธารกันได้อย่างสนุกสนาน แต่น้ำตกจะมีน้ำมากในฤดูฝนช่วงเดือนกรกฎาคม-ต้นตุลาคม เท่านั้น หากมาในช่วงเดือนอื่นน้ำค่อนข้างน้อยมาก
เนื่องจากน้ำตกถ้ำพระ ตั้งอยู่ในป่าจึงจำเป็นต้องจอดรถไว้ที่ท่าเรือ แล้วนั่งเรือรับจ้างของชาวบ้านเข้าไปที่ตัวน้ำตก โดยท่าเรือจะมี 2 ท่า จะเลือกขึ้นท่าเรือไหนก็ได้ เราเลือกขึ้นท่าเรือที่ 1 เพราะถึงก่อน โดยจอดรถไว้ที่บริเวณท่าเรือ เสียค่าบริการคนละ 20 บาท นั่งเรือประมาณ 15 นาทีก็มาถึงจุดเดินเท้า จากนั้นเดินต่อไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร จะถึงตัวน้ำตกถ้ำพระชั้นที่ 1

ตัวน้ำตกชั้นที่ 1 มีลักษณะเป็นลานหินกว้าง และมีน้ำไหลไปตามชะง่อนหินลงมายังแอ่ง ซึ่งมีหลายจุด ซึ่งแอ่งต่างๆ สามรถลงเล่นน้ำได้ มาเที่ยวในช่วงปลายเดือนตุลาคมน้ำจะเริ่มน้อย ส่วนใหญ่น้ำตกในภาคอีสานจะเป็นแบบนี้เหมือนกันทุกแห่ง คือ น้ำจะเยอะในช่วงฤดูฝนเท่านั้น ในฤดูอื่นน้ำจะแห้งมากจนเกือบไม่มีน้ำ จะต่างกับน้ำตกทางภาคเหนือที่ยังมีน้ำให้เห็นบ้าง แต่ถึงแม้น้ำจะน้อย นักท่องเที่ยวก็ยังเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน

เดินมาอีกหน่อย จะเจอน้ำตกช่วงที่ 2 และถ้ำพระ ซึ่งมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่บริเวณชะง่อนผา เพราะสมัยก่อนภายในบริเวณน้ำตกเป็นวัดป่า ภายหลังวัดป่าได้ย้ายไปและเปิดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว

น้ำตกช่วงที่ซึ่งเป็นจุดที่สวยงามที่สุด แต่ตอนนี้น้ำน้อย ก็อาจจะเห็นความงามได้ไม่เต็มที่

ขอบคุณแหล่งที่มา www.paiduaykan.com

Sunday, April 21, 2019

พระธาตุนาดูน จังหวัดมหาสารคาม

พระธาตุนาดูน 


พระธาตุนาดูน  ตั้งอยู่ที่ บ้านนาดูน อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม  นับเป็นสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนาคู่บ้านคู่เมืองของ ชาวมหาสารคาม  เป็นปูชนียสถานที่สร้างขึ้นเพื่อสิริมงคลแก่ภูมิภาค พื้นที่โดยรอบได้ถูกพัฒนาเพื่อเป็นศูนย์กลางส่งเสริมกิจการ พระพุทธศาสนาและศิลปวัฒนธรรม ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงเรียกขานว่าเป็น “พุทธมณฑลอีสาน” รอบองค์พระธาตุมีบริเวณ กว้างขวาง จัดแต่งเป็นสวนรุกขชาติ ปลูกต้นไม้ในพุทธประวัติ  พระธาตุนาดูน   เป็นเขตที่มีการขุดพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ โบราณคดีที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองในอดีต เพราะบริเวณนี้ได้เคยเป็นที่ตั้งของนครจำปาศรีมาก่อน โบราณวัตถุต่างๆที่ค้นพบ ได้นำไปแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดขอนแก่น และที่สำคัญยิ่งก็คือการขุดพบสถูป บรรจุพระบรมสารีริกธาตุบรรจุ ในตลับทองคำ เงิน และสำริด ซึ่งสันนิษฐานว่ามีอายุอยู่ในพุทธศตวรรษที่ 13-15 สมัยทวาราวดี 

รูปลักษณะพระธาตุนาดูน จำลองแบบจากสถูปสำริดที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ฐานประยุกต์แบบศิลปะทวาราวดี ฐานกว้าง 35.70 * 35.70 เมตร มีความสูงจากฐานถึงยอด 50.50 เมตร ฐานรากและโครงสร้างทั่วไปเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ทั้งหมด ผนังภายนอก พระธาตุส่วนใหญ่ทำด้วยหินล้างเบอร์ 4 บางแห่งฉาบปูนเรียบสีขาว มีลวดลายลวดบัว เสาบัวต่าง ๆ จำลองแบบพระเครื่องพิมพ์ต่าง ๆ ที่ขุดพบมาประดิษฐานพระธาตุจำนวน 32 รูป และมีมารแบกปั้นเป็นแบบนูนสูงประดับที่ฐานจำนวน 40 ตัว ตัวองค์พระธาตุจะแบ่งออก เป็น 16 ชั้น ลักษณะการก่อสร้างแบบคอนกรีตเสริมเหล็กทั้งหมดภายในโปร่ง
ชั้นที่ 1 คือ ส่วนฐานที่เป็นองค์พระธาตุมีลักษณะกลม มีพื้นทางเดินโดยรอบ และมีซุ้มประตูลายปูนปั้น 4 ประตูประจำทิศ ผนังประดับ ด้วยกระเบื้องด่านเกวียนศิลปะของ ภาคอีสาน พื้นปูด้วยกระเบื้องเซรามิก 6 เหลี่ยม ผนังทั่วไปทำด้วยหินล้าง

ชั้นที่ 2 สูงจากชั้นที่หนึ่ง 5 เมตร มีเจดีย์องค์เล็กประจำทิศเหนือทั้ง 4 และพระพุทธรูปประจำซุ้ม 4 องค์ ผนังประกอบด้วยปูนปั้นเป็น รูปเสามีบัวเหนือเสา พื้นปูด้วยกระเบื้องเซรามิก 6 เหลี่ยม ผนังทั่วไปทำด้วยหินล้างและประดับกระเบื้องด่านเกวียน

ชั้นที่ 3 สูงจากชั้นที่สอง 4.80 เมตร มีเจดีย์องค์เล็กประจำทิศเฉียง 4 องค์ เช่นเดียวกับชั้นที่ 2 พื้นปูด้วยกระเบื้อง เซรามิก 6 เหลี่ยม

ชั้นที่ 4 สูงจากชั้นที่สาม 1.60 เมตร ประกอบด้วยฐาน 8 เหลี่ยม เป็นชั้นเริ่มต้นของ ตัวองค์พระธาตุ โครงสร้างประกอบ

ชั้นที่ 5 สูงจากชั้นที่สาม 1 เมตร ประกอบด้วยฐานบัวกลม ชั้นที่ 5 ถึงชั้นที่ 10มีความสูง 11 เมตรเป็นตัวองค์ระฆังของพระธาตุ โดยเฉพาะชั้นที่ 8 จะเป็นชั้นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ

ชั้นที่ 10 มีลักษณะองค์ระฆัง เป็นชั้นบัลลังก์

ชั้นที่ 11 ถึงชั้นที่ 14 มีความสูง 4.60 เมตร เป็นชั้นบัลลังก์ประกอบด้วยลักษณะทรงกลมมีลายปูนปั้นเป็นกลีบบัว

ชั้นที่14 ถึงชั้นที่ 16 มีความสูง 6.80 เมตร เป็นชั้นปล้องไฉน มีทั้งหมด 6 ปล้อง ในส่วนชั้นที่ 16 ถึงยอดคือปลียอด มีชั้นปลี ชั้นลูกแก้ว และชั้นฉัตรยอด ส่วนฉัตรยอดบุด้วยโมเสกแก้วสีทอง
ทุกปีจะมีการจัดงานนมัสการพระธาตุนาดูน ในช่วงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 หรือวันมาฆบูชาภายในงานจัดให้มีกิจกรรมเวียนเทียน รอบองค์พระบรมธาตุ การบวงสรวงองค์พระบรมธาตุ การปฏิบัติธรรมวิปัสสนาการทำบุญตักบาตร สวดมนต์ฟังธรรม ขบวนแห่ ประเพณี 12 เดือน การแสดงแสง สี เสียง ประวัติความเป็นมานครจำปาศรีและการแสดงมหรสพสมโภชตลอดงาน เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00 – 18.00 น.
การเดินทาง
จากตัวเมืองมหาสารคาม โดยใช้เส้นทางหมายเลข 2040 ผ่านอำเภอแกดำ อำเภอวาปีปทุม แล้วเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 2045 ถึงอำเภอนาดูน ทางลาดยางตลอด ห่างจากตัวเมืองประมาณ 65 กิโลเมตร

ขอบคุณแหล่งที่มา www.paiduaykan.com

ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ พระธาตุก่องข้าวน้อย จังหวัดยโสธร

พระธาตุก่องข้าวน้อย


ธาตุก่องข้าวน้อย หรือที่นิยมเรียกกันว่าพระธาตุก่องข้าวน้อยชื่อที่ถูกต้องของธาตุองค์นี้ ควรจะเรียกว่า "ธาตุก่องข้าวน้อย" มากกว่า "พระธาตุก่องข้าวน้อย" เพราะภายในบรรจุอัฐิบุคคลธรรมดา มิใช่เป็นอัฐิพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนเช่นพระธาตุ หรือพระบรมธาตุทั่วไป  ธาตุก่องข้าวน้อย  เป็นเจดีย์เก่าแก่ศิลปะแบบขอมตั้งอยู่วัดทุ่งสะเดาบ้านสะเดา ตำบลตาดทองอำเภอเมืองจังหวัดยโสธร ธาตุก่องข้าวน้อยเป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูน รูปทรงแปลกไปจากเจดีย์โดยทั่วไป คือมีลักษณะ เป็นก่องข้าว องค์ธาตุเป็นเจดีย์เหลี่ยมย่อมุมไม้สาม ฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างด้านละ 2 เมตร ก่อสูงขึ้นไปประมาณ 1 เมตร ช่วงกลาง ขององค์ธาตุ มีลวดลายทำเป็นซุ้มประตูทั้งสี่ด้าน ถัดจากช่วงนี้ไปเป็นส่วนยอดของเจดีย์ที่ค่อยๆ สอบเข้าหากัน ส่วนยอดรอบนอกของ ธาตุก่องข้าวน้อยมีกำแพงอิฐล้อมรอบขนาด 5x5 เมตร นอกจากนี้บริเวณด้านหลังองค์ธาตุมีพระพุทธรูปอยู่องค์หนึ่งก่อด้วยอิฐนับถือ ว่าศักดิ์สิทธิ์มาก และในเดือนห้า (เมษายน) จะมีการประเพณีสรงน้ำพระและปิดทอง เชื่อกันว่าถ้าไม่ทำเช่นนี้ฝนจะแล้งในปีนั้น นอกจากนี้แล้วบริเวณรอบ ๆ องค์ธาตุ กรมศิลปากรได้ค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีต่าง ๆ เกี่ยวกับการอยู่อาศัย ณ ที่แห่งนี้ ของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ของไทย และภาพเขียนสียุคเดียวกับโบราณสถานบ้านเชียงด้วย
ประวัติของการสร้างธาตุแห่งนี้แตกต่างไปจากธาตุอื่น ๆ ที่มักเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา โดยเป็นนิทานพื้นบ้านเล่าว่า มีชายหนุ่มชาวนา ที่ได้ทำนาทั้งชีวิต วันหนึ่งเขาออกไปไถนา ในเวลาเที่ยงเขาเหนื่อยล้า รู้สึกเกิดอาการร้อนรนและหิวโซ;มารดาของหนุ่มชาวนา มาส่งข้าว แต่มาช้ากว่าเวลาปกติ ชายหนุ่มเห็นว่าก่องข้าวที่มารดาถือมาให้นั้นก่องเล็กมาก เขาโกรธมารดามาก จึงทำร้ายมารดา ด้วยความโมโหหิว เอาคันไถนาฟาดไปที่มารดา จนมารดาล้มและเสียชีวิต หลังจากนั้นเขากินข้าวที่มารดานำมาให้ แต่ก็กินเท่าไร ข้าวก่องน้อยนั้นก็ไม่หมดก่อง ลูกชายเริ่มได้สติ หันมาเห็นมารดานอนเสียชีวิตบนพื้น จึงรู้สึกเสียใจมากที่ได้ทำผิดไป จึงรีบไป สาระภาพความผิดต่อเจ้าเมืองและขอบวชเพื่อไถ่บาปกรรมเจ้าเมืองก็อนุญาต เมื่อลูกชายเป็นพระภิกษุแล้วก็ปฏิบัติธรรมวินัยอย่าง เคร่งครัดจนเจ้าเมืองและชาวบ้านพากันเลื่อมใสศรัทธา จึงพากันมาถวายไม้กวาดลานวัดซึ่งด้ามทำด้วยทองคำ ภายหลังหมู่บ้านนั้น มีชื่อว่า “บ้านตาดทอง” (ตาดเป็นภาษาถิ่นอีสาน หมายถึงไม้กวาดด้ามยาว) ต่อมาพระภิกษุผู้เป็นลูกได้สร้างพระธาตุเจดีย์เพื่อไถ่บาป ที่ฆ่าแม่ เมื่อชาวบ้านทราบเช่นนี้จึงมาช่วยกันสร้างพระธาตุเจดีย์สูงเท่าลำตาล เรียกกันว่า “พระธาตุก่องข้าวน้อย”
การเดินทาง
พระธาตุก่องข้าวน้อย  ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 9 กิโลเมตร ไปตามทางหลวงหมายเลข 23 (ยโสธร-อุบลราชธานี) กิโลเมตรที่ 194 เลี้ยวซ้ายไปอีก 1 กิโลเมตร

ขอบคุณแหล่งที่มา www.paiduaykan.com

Saturday, April 20, 2019

เที่ยวชมพิพิธภัณฑ์พญาคันคาก

พิพิธภัณฑ์พญาคันคาก


พิพิธภัณฑ์พญาคันคาก หรือ พิพิธภัณฑ์คางคก แลนด์มาร์คแห่งใหม่ที่โดดเด่นแปลกตาของจังหวัดยโสธร ตั้งอยู่ริมอ่างเก็บน้ำลำทวน อำเภอเมือง บริเวณสวนสาธารณะพญาแถน เป็นพิพิธภัณฑ์ที่สอดแทรกตำนานเรื่องเล่าพื้นเมืองของชาวอีสาน เกี่ยวกับตำนาน พญาคางคกและประเพณีบุญบั้งไฟอันโด่งดัง    ตัวอาคารถูกออกแบบให้เป็นรูปคางคกขนาดยักษ์เป็นอาคารสูง 5 ชั้น หรือประมาณ 19 เมตร พื้นที่ประมาณ 835 ตารางเมตร และนิทรรศการภายในจะบอกเรื่องเกี่ยวกับที่มาของบั้งไฟ โดยจัดฉายเป็นภาพยนตร์ 4 มิติ และนิทรรศการเกี่ยวกับคางคกชนิดต่าง ๆ ที่พบได้ในเมืองไทยที่มีอยู่กว่า 20 ชนิด และมีการรวบรวมของดีทางด้านเกษตรกรรม ของเมืองยโสธรไว้ภายในพิพิธภัณฑ์ รวมถึงเกล็ดเล็กเกล็ดน้อยของจังหวัดยโสธร

นอกจากนี้ข้างพิพิธภัณฑ์มีประติมากรรมขบวนแห่บั้งไฟอันอ่อนช้อยและงดงาม สวนสาธารณะพญาแถนที่บรรยากาศร่มรื่นลมพัด เย็นสบายเหมาะสำหรับมาเดินเล่นพักผ่อนในยามเย็น  รวมถึงพิพิธภัณฑ์พญานาคขนาดใหญ่ ที่เชื่อมต่อกับ สร้างความตื่นตาตื่นใจ ให้แก่ผู้มาชม ภายในมีภาพถ่ายสามมิติสถานที่ท่องเที่ยวของประเทศเพื่อนบ้านให้โพสต์ท่าถ่ายภาพอีกด้วย
ตำนานพญาคันคาก พญานาค พญาแถน
พญาคันคาก พญานาค พญาแถน คือ ตำนานความเชื่อของชาวอีสาน และอีกตำนานหนึ่งก็จะมีตำนาน “ผาแดงนางไอ่” ชาวอีสานจะ ทำบั้งไฟหมื่น บั้งไฟแสน บั้งไฟล้าน ถึงปลายเดือนห้าย่างเดือนหก ชาวบ้านก็จะแสดงออกถึงความสามัคคี ร่วมกันทำบั้งไฟจุดขึ้นไป แจ้งพญาแถนเพื่อให้บันดาลให้ฝนตกถูกต้องตามฤดูกาล เพื่อชาวโลกมนุษย์จะใช้น้ำฝนทำนาเป็นไปตามตำนานเล่าสืบทอดกันมา พญาคางคก พญานาค รวมไพร่พลยกทัพขึ้นไปรบชนะพญาแถน และได้ทำสัญญาสงบศึก หากถึงฤดูกาลทำนา โลกมนุษย์จะส่ง สัญญาน แจ้งพญาแถนด้วยการจุดบั้งไฟขึ้นท้องฟ้า และเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวข้าวโลกมนุษย์ก็จะใช้เสียงสนูจากว่าวแจ้งให้พญาแถนทราบ ซึ่งเป็นความเชื่อของชาวบ้าน
การเข้าเยี่ยมชมภายในอาคารพิพิธภัณฑ์พญาคันคากและอาคารพิพิธภัณฑ์พญานาค
เปิดให้เข้าชมวันพุธ-วันจันทร์ (ปิดวันอังคาร ยกเว้นตรงกับวันหยุดราชการ) วันธรรมดา ช่วงเช้า เวลา 09.00 -12.00 น. ช่วงบ่าย เวลา 15.00 – 18.00 น วันหยุดราชการ ช่วงเช้า เวลา 09.00 -12.00 น. ช่วงบ่าย เวลา 13.00 - 19.00 น.ห้ามนำอาหารและ เครื่องดื่มทุกชนิดเข้าไปภายในอาคารพิพิธภัณฑ์พญาคันคาก และอาคารพิพิธภัณฑ์พญานาค
การเดินทางไปพิพิธภัณฑ์พญาคันคาก
จากตัวเมืองยโสธรหน้าสวนธารณะเมืองแถน บนถนนแจ้งสนิท ให้ขับรถตรงไปประมาณ 400  เมตร เลี้ยวขวาตรงสี่แยกถนนห้า ธันวาคม จากนั้นให้ตรงไปผ่านเรือนจำยโสธร ประมาณ 700 เมตร จะถึงสามแยกจะถึงสามแยก จากนั้นเลี้ยวขวาตรงสามแยก และขับรถตรงไปอีก 200 เมตร ให้เลี้ยวขวาอีกครั้ง ตรงไปอีก 150 เมตร จะถึงพิพิธภัณฑ์พญาคันคาก หากใครไม่คุ้นเคยเส้นทาง อาจใช้ google maps นำทาง

บริเวณพิพิธภัณฑ์คันคากมีให้บริการรถรางชมเมืองฟรี ทุกวันศุกร์-วันอาทิตย์ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที โดยจะแวะจอด 5 สถานีด้วยกัน คือ สถานีวิมานพญาแถน สถานีวัดมหาธาตุ สถานีบ้านสิงห์ท่า สถานีบุ่งน้อยบุ่งใหญ่ และสถานีวัดศรีธรรมาราม เลือกขึ้นกันได้ 3 เที่ยว คือ
- เที่ยวที่ 1 เวลา 09.30 น. - 10.50 น.
- เที่ยวที่ 2 เวลา 14.00 น. - 15.20 น.
- เที่ยวที่ 3 เวลา 16.00 น. - 17.20 น.
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม เทศบาลเมืองยโสธร โทรศัพท์สายด่วน 1132

ขอบคุณแหล่งที่มา www.paiduaykan.com

Friday, April 19, 2019

เที่ยวชมวัดพระพุทธบาท ยโสธร

วัดพระพุทธบาท ยโสธร


ยโสธร ตั้งอยู่ที่ บ้านหนอกยาง ต.หัวเมือง อ.มหาชัย จ.ยโสธร โบราณสถานสำคัญที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน ตั้งอยู่บนเนินทรายริมฝั่งแม่น้ำชีทัศนียภาพสวยงามสงบร่มเย็น วัดพระพุทธบาทยโสธรแห่งนี้ประดิษฐานรอยพระพุทธบาท นับเป็น โบราณสถานอันล้ำค่าของจังหวัด  ภายในวัด โดดเด่นด้วยพระอุโบสถสีขาวหลังคาสีน้ำเงิน มีความงดงามตามแบบศิลปะประยุกต์ ทั้งการออกแบบรั้วและระเบียงที่มีลวดลายปูนปั้นที่ดูแปลกตา ภายในประดิษฐานพระประธานที่เจียระไน จากหยกขาวขนาดหน้าตัก กว้าง 2.31เมตร สูง 3.7 เมตร ซึ่งถือเป็นพระพุทธรูปหยกขาวใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

ภายในวัดมีพระเจดีย์ทรง 8 เหลี่ยม ชื่อว่า เจดีย์มหาชัยชนะ  เป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำสร้างขึ้นเพื่อถวายแด่พระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในวโรกาสที่พระองค์ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี  มีทั้งหมด 3 ชั้น ชั้นแรกมี การจัดแสดงเกี่ยวกับศิลปหัตถกรรมเครื่องมือเครื่องใช้ของชาวอีสานครั้งอดีต และเป็นห้องสมุดสำหรับค้นคว้าพระธรรมวินัย พระไตรปิฎก ชั้นที่ 2 จัดแสดงหุ่นขี้ผึ้งรูปเหมือนบูรพาจารย์ ส่วนชั้นสุดท้ายได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ

ถัดจากเจดีย์มหาชัยชนะ คือ อาคารที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาท บริเวณเดียวกันนี้ยังมีโบราณวัตถุอีกชิ้นหนึ่ง ได้แก่ พระพุทธรูป ปางนาคปรก (ศิลาแลง) 1 องค์ ขนาดหน้าตักกว้าง 1 ศอก และหลักศิลาจารึกทำด้วยศิลาแลง 1 หลัก สูง 1 เมตร กว้าง 50 เซ็นติเมตร มีตัวหนังสือโบราณบันทึกไว้ว่า โบราณวัตถุทั้ง 3 อย่างนี้ พระมหาอุตตปัญญาและสิทธิวิหาริก ได้นำมาจากกรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. 1378 นอกจากนั้นก็เขียนบอกคำนมัสการพระพุทธบาทไว้ บางตัวเลือนลางมาก ในระหว่างเดือนมีนาคม-เมษายน ของทุกปี จะมี ประชาชนจากอำเภอและตำบลใกล้เคียงไปนมัสการเป็นจำนวนมาก

การเดินทาง
วัดพระพุทธบาทยโสธร ตั้งอยู่ที่ บ้านหนอกยาง ต.หัวเมือง อ.มหาชัย จ.ยโสธร ห่างจาก อ.มหาชนะชัยไปตาม ถ.สายมหาชนะชัย-อ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด ประมาณ 5 กิโลเมตร จากนั้นเลี้ยวเข้าสู่ทางหลวง หมายเลข 2083 มุ่งหน้าตรงไป อีกประมาณ 2.5 กิโลเมตร ก็จะถึงวัดพระพุทธบาทยโสธร

ขอบคุณแหล่งที่มา www.paiduaykan.com

Thursday, April 18, 2019

เที่ยววัดเนรมิตวิปัสสนา จังหวัดเลย

วัดเนรมิตวิปัสสนา

วัดเนรมิตวิปัสสนา ตั้งอยู่สูงเด่นอยู่บนเนินเขา พระอุโบสถและเจดีย์ภายในวัดก่อสร้างด้วยศิลาแลงทั้งหลัง และมีพระอุโบสถขนาดใหญ่ตกแต่ง อย่างวิจิตรงดงามตามศิลปะภาคกลาง มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เกิดจากจินตนาการสร้างสรรค์ออกแบบ โดยพระและเณร มีภาพจิตรกรรมที่สวยงามประดับอยู่โดยรอบ เป็นสถานที่ที่ใครเดินทางมาถึงด่านซ้ายไม่ลืมแวะไปนมัสการและเที่ยวชม




ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.paiduaykan.com

Wednesday, April 17, 2019

เที่ยว อุทยานแห่งชาติภูเรือจังหวัดเลย

ภูเรือ จังหวัดเลย

ดินแดนหนาวสุดในแดนสยาม คือ คำกล่าวขานที่มีคนพูดถึง อุทยานแห่งชาติภูเรือ ภูเขาที่ขึ้นชื่อของจังหวัดเลยมาช้านาน ภูเรือประกอบด้วยทิวเขาสูง สลับซับซ้อนเรียงรายเป็นรูปต่างๆ สลับกับ ในยามเช้าบนยอดสูงสุดของภูเรือคือ จุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นคลอเคล้าภูเขา เป็นจุดชมวิวที่มีภูมิทัศน์ที่สวยงาม เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวจะหนาวเย็นและลมแรงมาก




ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.paiduaykan.com

Tuesday, April 16, 2019

หลงรักเมืองน่าน เที่ยวน่าน ฮอตฮิต ปักหมุดไปชิวกัน

เที่ยวน่าน ฮอตฮิต ปักหมุดไปชิวกัน



น่าน เมืองล้านนาตะวันออก ที่งดงามด้วยเรื่องราวของวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ท้องถิ่น เป็นอีกหนึ่งเมืองสงบน่าเที่ยวเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางยอดฮิตที่เหล่านักเดินทางต่างใฝ่ฝันที่จะมาเที่ยวสัมผัสบรรยากาศของความเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าเราจะไปเที่ยวน่านฤดูไหนก็สวยงามเสมอ ฤดูหนาวก็ได้ความหนาวเย็นและไออุ่นจากแสงแดดยามเช้าเคล้าสายหมอกในหน้าหนาว มาเที่ยวฤดูฝนก็จะได้ความเขียวขจีได้สัมผัสมนต์เสน่ห์ของทิวเขาที่เรียงรายกันสลับซับซ้อนเคล้าสามหมอกอลังการแห่งหน้าฝน และทุ่งนาเขียวขจี น่านมีอะไรดี ทำไมหลายคนจึงต้องปักหมุด ไปด้วยกันจัดสถานที่ท่องเที่ยวน่านที่หากได้ไปต้องตกหลุมรัก

ขอบคุณแหล่งที่มา www.paiduaykan.com

Monday, April 15, 2019

เที่ยวเชียงคานจังหวัดเลย

เที่ยวเชียงคาน


เชียงคาน เมืองเล็ก ริมแม่น้ำโขงสุดชายแดนไทย เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดเลย ที่คงยังคงไว้ซึ่งวัฒนธรรม ขนบประเพณี การใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ภาพบ้านเก่าๆที่เรียงรายติดกันอยู่ริมถนนชายโขง ดึงดูดใจ ให้นักท่องเที่ยวหลายต่อหลายรุ่นต่าง หลั่งไหลเดินทางกันมาที่นี่ รวมถึงมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ เช่น แก่งคุดคู้ ทะเลหมอกภูทอก วัดศรีคุณเมือง ด้วยความเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมจนทำให้เชียงคาน ในเวลานี้จะมีอะไรหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ถึงอย่างไรความ สงบเรียบง่ายของวิถีชีวิต รอยยิ้มที่แสนจะจริง ของผู้คนในเมืองนี้ ยังคงเป็นเสน่ห์ที่ทำให้เมืองเชียงคานแตกต่างจากเมืองท่องเที่ยวอื่น
ช่วงเวลาท่องเที่ยวที่เหมาะสม เที่ยวได้ทุกฤดู แต่จะคึกคักที่สุดในช่วงฤดูหนาว

ขอบคุณแหล่งที่มา www.paiduaykan.com

Sunday, April 14, 2019

นาตาชม เพชรบุรี ร้านกาแฟวิวทุ่งนาและต้นตาล

ร้านกาแฟวิวทุ่งนาและต้นตาล

ร้านกาแฟกลางทุ่งนา ยังคงฮอตฮิตติกระแส ที่มีให้เห็นเกือบทุกจังหวัดไปซะแล้ว ไม่เว้นแต่จังหวัดเพชรบุรี ที่มีร้านกาแฟสไตล์บ้านทุ่ง ชื่อว่า นาตาชม คอฟฟี่  ตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งนากว้างใหญ่  มีสะพานไม้ทอดยาวกลางทุ่งนา กระท่อมริมนาข้าวให้ได้นั่งพักผ่อน  นอกจากมีวิวเป็นนาข้าวเขียวขจีแล้ว ยังมีต้นตาลซึ่งเป็นต้นไม้เอกลักษณ์ของเพชรบุรีเป็นฉากหลังมุมถ่ายภาพนกระยางสีขาวที่สามารถพบเห็นทั่วไปได้ตามทุ่งนา กลายเป็นเสน่ห์ของร้านกาแฟกลางทุ่งในแบบเพชรบุรีสไตล์







นาตาชม คอฟฟี่ ตั้งอยู่ในอำเภอเมืองเพชรบุรี ห่างจากตัวเมืองเพชรบุรีมาเล็กน้อย  ร้านตั้งอยู่ริมถนนชนบทติดทุ่งนา  เมื่อมาถึงสามารถจอดรถไว้บริเวณข้างล่างหรืออาจจอดริมถนน ซึ่งมีที่จอดรถไม่มาก ภายในร้านมีมุมถ่ายภาพที่สวยงามหลายจุด เริ่มตั้งแต่ป้ายชื่อร้าน  และสะพานข้ามไปยังห้องน้ำ ที่ยกสูงขึ้นมาเหนือสะพานไม้กลางทุ่งนา  มุมแปลชิงช้า สำหรับนั่งถ่ายภาพเล่นๆ

พื้นที่ของตัวร้านในส่วนของห้องแอร์ ซึ่งเป็นเคาน์เตอรสั่งเครื่องดื่มและอาหาร มีที่นั่งประมาณ 5 โต๊ะ และมีพื้นที่นั่งด้านนอกแบบเคาน์เตอร์บาร์ มองเห็นวิวนาข้าว

นอกจากนี้ยังมีที่นั่งแบบกระท่อมริมนา อีกประมาณ 3  หลัง สำหรับนั่งห้อยขา จิบกาแฟชิลๆ มองวิวนาข้าสและต้นตาลสูงใหญ่ ได้อารมณ์บ้านทุ่ง

เดินเล่นบนสะพานไม้ที่ทอดยาวกลางทุ่ง ระหว่างทางมีจุดถ่ายภาพน่ารักหลายจุด ทั้งป้ายบอกทาง หุ่นไล่กา และชอบที่สุด คือ มุมฝูงนกระยางจำลอง  ที่ถ่ายภาพออกมาแล้วเหมือนนกกำลังโบยบินรอบตัวเรา

สุดทางของสะพานไม้มีกระท่อม และแปลญวณ มุมนี้น่าจะชิลล์สุดเพราะมองเห็นวิวแบบกว้างไกลแบบไม่มีอะไรมาบดบัง  และคงไม่ค่อยว่างให้ได้เข้าไปถ่ายรูปเท่าไหร่ เพราะคนนั่งกันนานมาก เป็นอีกหนึ่งร้านสำหรับคนที่ชื่นชอบในบรรยากาศฟีลงธรมชาติและทุ่งนา ชอบมุมถ่ายภาพสวยๆ ต้องแวะมาค่ะ

บ้านทางหลวง พบ.4032 ต.ไร่ส้ม อ.เมืองเพชรบุรี จ.เพชรบุรี
เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา  07.00-18.00 น.
โทร. 090 636 2698
Facebook : นาตาชม คอฟฟี่

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.paiduaykan.com

Saturday, April 13, 2019

เที่ยววัดจังหวัดตาก พระธาตุดอยหินกิ่ว

 พระธาตุดอยหินกิ่ว


 ตั้งอยู่ที่ ตำบลท่าสายลวด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของอำเภอที่ไม่ควรพลาด  องค์พระธาตุที่ตั้งอยู่บนชะง่อนผาสูง โดยมีหินก้อนใหญ่บนหน้าผานั้น ซึ่งชาวบ้านต่างพากันขนานนามว่า “เจดีย์หินพระอินทร์แขวน” อีกทั้งหินที่อยู่บนดอยนี้ยังมีสีดำหรือน้ำตาลไหม้ บางคนจึงเรียกพระธาตุองค์นี้ว่า “พระธาตุดอยดินจี่” ซึ่งหมายถึงดินที่ถูกไฟไหม้นั่นเอง ภายในเจดีย์มีพระธาตุประดิษฐานอยู่เรียกกันว่า “พญาล่อง” ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาของชาวจังหวัดตากและจังหวัดใกล้เคียง บริเวณวัดพระธาตุฯ ยังมีเรือโบราณที่มีอายุประมาณ 200 ปี โดยชาวบ้านวังตะเคียนได้ช่วยกันกู้ขึ้นมาเก็บรักษาไว้ที่เชิงดอยดินจี่เรือลำนี้ ภายในเรือมีช่องสำหรับสอดไม้กระดานเพื่อทำเป็นที่นั่งจำนวน 4 ช่อง โดยมีระยะห่างไม่เท่ากัน ซึ่งจากรูปและขนาดของเรือ สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเรือที่ใช้ในการขนส่งอาหารหรือสินค้าระหว่างทั้งสองฝั่งแม่น้ำเมย  เมื่อมองลงมาจากองค์พระธาตุจะเห็นทิวทัศน์ที่งดงามของอำเภอแม่สอด และด้วยศรัทธาในองค์พระธาตุชาวอำเภอแม่สอดและผู้คนฝั่งพม่าจะจัดงานนมัสการพระธาตุหินกิ่วดอยดินจี่ขึ้นเป็นประจำในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี


สิ่งที่น่าสนใจบนพระธาตุดอยหินกิ่ว 

พระธาตุหินกิ่ว (พระธาตุหินพระอินทร์แขวน)

ตั้งอยู่เชิงหน้าผา  ห่างจากถ้ำฆ้องถ้ำกลองมาทางด้านซ้ายมือประมาณ 300 เมตร  ความสูงอยู่ประมาณกึ่งกลางของดอยดินจี่ พระธาตุจะประดิษฐานอยู่บนหินกิ่วที่มีลักษณะคล้ายกับพระธาตุอินทร์แขวนที่ประเทศพม่า  ข้าง  ๆ องค์พระเจดีย์จะมีรูปปั้นเทพารักษ์หลายองค์ศิลปะแบบพม่าและไทยใหญ่  ใกล้ ๆ กับพระธาตุจะมีศาลาให้พุทธศาสนิกชนพักเหนื่อยและสำหรับสวดมนต์

เจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ

เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งอยู่เกือบชั้นบนสุดของยอดดอย  ระยะความสูงจากด้านล่างนับเป็นขั้นบันไดได้ 413 ขั้น  แต่ถ้าเดินจากถ้ำฆ้องถ้ำกลองก็เดินอีกแค่ 130 ขั้นเท่านั้น  ภายในเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ของมีค่า  เงินรูปี  เหรียญตรา และพระพุทธรูปทองคำ 5 องค์  ที่ผู้สร้างนำติดตัวมาจากประเทศพม่า ถัดลงมาคือรอยพระบาท

รอยพระพุทธบาท

สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นรอยเท้าพระอรหันต์องค์ใดองค์หนึ่งมาประทับเอาไว้ให้อนุชนรุ่นหลังสักการะบูชา  เพราะคนธรรมดาจะไม่สามารถเหยียบหินแล้วให้เป็นรอยแบบนี้ได้  ในปัจจุบันชาวบ้านได้สร้างตู้กระจกครอบรอยเท้าเอาไว้แล้ว  เพื่อป้องกันการชำรุด

พระพุทธรูปปางลีลา

เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ระหว่างทางขึ้นดอย  ด้านหน้าองค์พระเป็นบันไดนาคราช 2 ตัวทอดยาวต้อนรับผู้ที่จะเดินขึ้นมานมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ด้านขวามือขององค์พระเป็นรูปปั้นคนสร้างพระธาตุนี้ขี่ม้าคือนายพะส่วยจาพอ
เมืองลับแล  ถัดจากรอยเท้าพระอรหันต์และเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุมาที่จุดสูงสุดของดอย จะเป็นปากทางเข้า

พระพุทธรูปพระพักตร์งามภายในถ้ำฆ้องถ้ำกลอง 

เป็นพระพุทธรูปที่ใบหน้างามที่สุดในโลก  สร้างแบบศิลปพม่า  ประดิษฐานอยู่ในถ้ำฆ้องถ้ำกลอง  ชื่อถ้ำมาจากเมื่อโยนหินไปในถ้ำ หินกระทบผนัง จะได้ยินเสียงคล้ายเสียงฆ้องและเสียงกลอง  ถัดหลังองค์พระจะเป็นถ้ำพญานาค  มีลักษณะใหญ่เรียวเป็นรูเล็กลงจนกระทั่งมุดตามเข้าไปไม่ได้  ลักษณะของถ้ำพญานาคก็คือ  มีน้ำซึมไหลออกตลอดปี  เพราะนาคขาดน้ำไม่ได้  หากจะเข้าถ้ำพญานาค ควรมีไฟฉายมาด้วย

เมืองลับแล

บรรยากาศและต้นไม้จะแปลก ๆ ไม่เหมือนป่าทั่วไป  ผู้มีสัมผัสที่ 6 จะรู้ได้  การขึ้นมาทำบุญสิ้นสุดเพียงเท่านี้  เพราะถัดจากนี้ไปจะเข้าสู่เขตเมืองลับแล  ไปแล้วอาจไม่ได้กลับมา
เรือโบราณ 200 ปี

เรือลำนี้ในอดีตแล่นอยู่ในแม่น้ำเมย  รับส่งสินค้าแก่ประชาชนสองฟากฝั่ง  ต่อมาในระหว่างสงครามถูกทำให้จมน้ำเพื่อซ่อนไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามใช้ประโยชน์  ด้วยความหวังว่าเมื่อผ่านสงครามแล้วจะกู้ขึ้นมาอีก  แต่โชคร้ายคนเหล่านั้นตายหมด  เรือก็เลยจมน้ำมานับร้อยปี  แต่เรือทุกลำก็มีแม่ย่านางอยู่  เมื่อถึงเวลาอันสมควร แม่ย่านางก็ไปดลใจให้คนไปพบและกู้ขึ้นมา ปัจจุบันชาวบ้านไม่ได้ใช้ประโยชน์จากเรือลำนี้เหมือนเดิมแล้ว  แต่ใช้ประโยชน์จากการขูดหาตัวเลขเสี่ยงดวง

 ตำนานแห่งพระธาตุ

มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า ผู้สร้างเป็นชาวกะเหรี่ยงในสมัยที่อังกฤษปกครองพม่า ชื่อว่านายพะส่วยจาพอ ได้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก เขานำเงินตราเหรียญรูปีบรรทุกหลังช้างมาเพื่อหาที่สำหรับสร้างเจดีย์ถวาย เป็นพุทธบูชา ครั้นมาถึงบริเวณผาหินกิ่ว (หรือดินจี่) ก็มองเห็นหินก้อนใหญ่ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงชัน และมีลักษณะคล้ายกับเจดีย์พระอินทร์แขวนในประเทศพม่า จึงได้ทำการก่อสร้าง เมื่อสร้างเสร็จแล้วได้นำพระสารีสริกธาตุบรรจุไว้ในองค์เจดีย์พร้อมกับพระพุทธรูปทองคำจำนวน 5 องค์

การเดินทางไปพระธาตุดอยหินกิ่ว

เริ่มต้นที่ตลาดริมเมย  อ.แม่สอด  ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 105 ผ่านวัดไทยวัฒนาราม  หมู่บ้านท่าอาจ และหมู่บ้านวังตะเคียน จะพบทางแยกขวามือมีป้ายบอกทางไปพระธาตุหินกิ่ว  3 กิโลเมตร  ระยะทางจากตลาดริมเมยไปพระธาตุประมาณ 11 กิโลเมตร

เมื่อมาถึงด้านหน้าวัด จากนั้นต้องขึ้นบันไดเพื่อไปชมองค์พระธาตุ ซึ่งปัจจุบันบันไดทางขึ้นมี 2 ทาง เส้นทางเดิมขึ้นบริเวณบันไดนาคจำนวน 413 ขั้น โดยจะผ่านไปยังจุดต่าง ๆ ก่อน ได้แก่ รอยพระพุทธบาท เจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ  และสุดท้ายคือ เจดีย์พระธาตุหินกิ่ว  ส่วนเส้นทางใหม่ขึ้นบันไปประมาณ 200 กว่าขั้น ระยะทางจะสั้นกว่า โดยจะขึ้นไปแล้วเจอเจดีย์พระธาตุหินกิ่ว  ก่อน จากนั้นจะเป็นรอยพระบาทเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ

ขอบคุณแหล่งที่มา www.paiduaykan.com

Thursday, April 11, 2019

แวะก่อนกลับตาก วัดชุมพลคีรี จังหวัดตาก

วัดชุมพลคีรี ตาก


วัดชุมพลคีรี ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลตำบลแม่สอด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก วัดเก่าแก่ที่มีอายุกว่า 200 ปี เดิมทีวัดแห่งนี้มีชื่อว่า “วัดกลาง” สร้างขึ้นตั้งแต่ปีพ.ศ.2314 และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2508 เขตวิสุงคามสีมากว้าง 25 เมตร ยาว 40 เมตร ได้ผูกพัทธสีมาเมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2512


น่าสนใจภายในวัด


– เจดีย์สีทอง ซึ่งจำลองแบบมาจากเจดีย์ชเวดากองของพม่าที่มีความสวยงามตามประวัติระบุว่า เจดีย์นี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2314 โดยจำลองแบบมาจากเจดีย์ชเวดาองในพม่า เป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูนทาสีขาว สูง 20 ม. ฐานย่อมุม องค์ระฆังประดับด้วยกระเบื้องและลวดลายสีทองไปจนจรดยอดเจดีย์ซึ่งเป็นยอดฉัตร มีเจดีย์ขาดเล็กทาสีทอง 20 องค์ ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว

– พระพุทธรูปประธานปางมารวิชัย อันเป็นพระประธานประดิษฐานภายในอุโบสถ

– กลองโบราณอายุกว่า 200 ปีที่เก็บรักษาภายในวิหาร

การเดินทาง 

จาก อ.เมือง ใช้ทางหลวงหมายเลข 105 เมื่อถึงวงเวียนเข้าตัวเมืองแม่สอดให้ตรงเข้า ถ.อินทรคีรี จนถึงสามแยก ให้เลี้ยวซ้ายเข้า ถ.ประสาทวิถี (บังคับเดินรถทางเดียวจากนั้นใช้ ถ.ประสาทวิถี ไปทางวัดอรัญญเขต เมื่อถึงวัดอรัญญเขต ให้กลับรถเข้า ถ.อินทรคีรีอีกครั้ง แล้วตรงไปวัดอยู่ทางซ้ายมือ เยี้องกับ ธ.นครหลวงไทย

ขอบคุณแหล่งที่มา www.paiduaykan.com

Wednesday, April 10, 2019

พระธาตุกลางน้ำ จังหวัดหนองคาย

พระธาตุหนองคาย


พระธาตุหนองคาย หรือพระธาตุกลางน้ำ หรืออีกชื่อ พระธาตุหล้าหนอง เป็นพระธาตุที่มีขนาดใหญ่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง เนื่องจาก แม่น้ำเชี่ยวกรากจึงกัดเซาะตลิ่งจนพระธาตุพังลงในแม่น้ำ ทำให้ปัจจุบันองค์พระธาตุจมอยู่กลางแม่น้ำโขงห่างจากฝั่งไทย 180 เมตร องค์พระธาตุก่อด้วยอิฐถือปูน ล้มตะแคงไปตามกระแสน้ำ ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ มีฐานเหลี่ยมมุมฉาก โดยด้านหนึ่ง โผล่ ขึ้นมาเหนือน้ำเพียงครึ่งฐาน องค์พระธาตุมีรูปทรงทางสถาปัตยกรรมเท่าที่ยังเหลืออยู่เป็นชั้นฐานเขียง 2 ชั้น ฐานสี่เหลี่ยม ย่อเก็จ ต่อขึ้นมาอีก 4 ชั้น จึงเป็นเรือนธาตุ ต่อด้วยบัวลูกแก้วอีก 2 ชั้น ความสูงของเจดีย์เฉพาะส่วนที่สัมผัสได้ 12.20 เมตร ความกว้างของ ฐานองค์พระธาตุชั้นล่างสุด 15.80 เมตร

พระธาตุหนองคาย เป็นที่เคารพสักการะของชาวหนองคายอย่างมาก ทางจังหวัดจึงได้สร้างพระธาตุองค์จำลองขึ้น มาบริเวณ ริมฝั่งแม่น้ำโขงและบรรจุชิ้นส่วนองค์พระธาตุจากองค์เดิมไว้ภายใน และยังเป็นการป้องกันการกัดเซาะตลิ่งด้วย ขนาด พระธาตุ องค์จำลอง ฐานกว้าง 10x10 เมตร ความสูงประมาณ 15 เมตร พร้อมทั้งการเสริมสร้างเสถียรภาพตลิ่งและป้องกัน การกัดเซาะตลิ่ง ตลอดความยาว 194 เมตร นอกจากนี้ยังมีการจัดสภาพภูมิทัศน์โดยรอบให้มีความสวยงาม
พระธาตุหนองคาย เป็นที่เคารพสักการะของชาวหนองคาย และชาวบ้านได้จัดงานประเพณีเกี่ยวกับพระธาตุในทุกปี คือ ประเพณีบุญบั้งไฟ เดือน 6 เพื่อจุดถวายองค์พระธาตุ ในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 6 พิธีบวงสรวงองค์พระธาตุ วันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 ถวายปราสาทผึ้ง วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 และการแข่งเรือยาววันออกพรรษาทุกปี เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา

ประวัติพระธาตุหนองคาย

พระธาตุหนองคาย หรือพระธาตุกลางน้ำเดิมชื่อพระธาตุหล้าหนองเป็นพระธาตุที่หักพังอยู่กลางลำน้ำโขง เป็นที่ประดิษฐาน พระบรมธาตุ ฝ่าพระบาทเก้าพระองค์ตามตำนานอุรังคธาตุ หรือตำนานพระธาตุพนมจากการสำรวจใต้น้ำของหน่วยโบราณคดีภาค 7 พบว่าองค์พระธาตุมีฐานกว้างด้านละ 17.2 เมตร ย่อมุมที่ฐาน และมีความสูงประมาณ 28.5 เมตร หักออกเป็น 3 ท่อน สันนิษฐานว่า น่าจะสร้างในราวพุทธศตวรรษที่ 20–22 เนื่องจากมีรูปร่างคล้ายพระธาตุบังพวน ในหนังสืออุรังคธาตุ หรือตำนานพระธาตุพนม ตอนหนึ่งได้กล่าวถึงการสร้างพระธาตุหล้าหนองว่า พระธาตุองค์นี้ สร้างโดยพระอรหันต์5 องค์ ประกอบด้วย พระมหารัตนเถระ, พระจุลรัตนเถระ, พระมหาสุวรรณปราสาทเถระ, พระจุลสุวรรณปราสาทเถระ และพระสังฆวิชัยเถระ ที่ล้วนเป็นศิษย์พระพุทธรักขิต พระธรรมรักขิต พระสังฆรักขิต พระอรหันต์ทั้ง 3 องค์ พระอรหันต์ทั้ง 5 ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุของ พระพุทธเจ้าจาก ประเทศอินเดียมาพร้อมกันและได้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้พร้อมกัน 6 แห่ง คือ

- พระธาตุหอผ้าหอแพบ้านทรายฟองเมืองหาดทรายฟองสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
- พระธาตุหัวเหน่า 29 องค์ บรรจุไว้ที่พระธาตุหลวงเวียงจันทน์สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
- พระอุรังคธาตุ หรือพระธาตุหน้าอก บรรจุไว้ที่พระธาตุพนมอำเภอธาตุพนมจังหวัดนครพนม
- พระธาตุบังคล หรือกระเพาะอาหาร บรรจุไว้ที่พระธาตุบังพวนวัดพระธาตุบังพวนอำเภอเมืองหนองคาย
- พระธาตุเขี้ยวฝาง 7 องค์ บรรจุไว้ที่พระธาตุโพนจิกเวียงงัวอำเภอเมืองหนองคาย
- พระธาตุฝ่าพระบาทเบื้องขวา 9 องค์ บรรจุไว้ที่พระธาตุเมืองลาหรือพระธาตุหล้าหนองอำเภอ เมืองหนองคายโดย พระธาตุหล้าหนองนี้ตั้งอยู่กลางบริเวณวัดธาตุ หรือวัดสิริมหากัจจายน์ ชุมชนวัดธาตุเทศบาลเมืองหนองคาย

ขอบคุณแหล่งที่มา www.paiduaykan.com

เที่ยววังบัวชมพู จังหวัดหนองคาย

วังบัวแดง หนองคาย


วังบัวแดง หรือ วังบัวชมพู ตั้งอยู่บ้านไผ่สีทอง ต.เวียงคุกอ.เมือง จ.หนองคาย มีลักษณะเป็นหนองน้ำ ธรรมชาติขนาดใหญ่ที่มี ดอกบัวบานกว่า2พันไร่  สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพธรรมชาติ มาที่นี่รับรองว่าไม่ผิดหวัง เพราะจะได้พบกับดอกบัวสีสด บานสะพรั่ง มองดูคล้ายมีผืนพรมสีแดงอมชมพู ปูอยู่ทั่วผืนน้ำ โดยมีฉากหลังเป็นทิวไม้สีเขียวชอุ่ม การชมดอกบัวแดง สามารถชม ได้จากทั้งบนฝั่งหรือจะนั่งเรือไปยังจุดชมดอกบัวแดงที่ถูกสร้างขึ้นเป็นเรือนแพเหนือหนองน้ำ โดยบัวแดงจะมีเฉพาะ ช่วงเดือน ธันวาคมถึงประมาณเดือนกุมภาพันธุ์ ช่วงเวลาชมดอกบัวที่สวยงามต้องเป็นช่วงอากาศเย็น คือตั้งแต่เช้ามืดจนถึง 10.00 น. ถ้าไปแต่เช้าตรู่จะเห็นนกเป็ดน้ำ นกกระยาง  นอกจากดอกบัวหลากสีแล้ว ที่นี่ยังอุดมไปด้วย พันธุ์ปลาน้ำจืดหลายชนิด อาทิ ปลาช่อน ปลาขาว ปลาตะเพียน และปลากราย ถือเป็นแหล่งอาหารอันสมบูรณ์ของชาวบ้านละแวกนี้
การเที่ยวชมวังบัวแดง หรือวังบัวชมพู  ต้องนั่งเรือซึ่งเป็นเรือพายของชาวบ้านสามารถสัมผัสธรรมชาติ ได้อย่างสงบไม่มีเสียง เครื่องยนต์คอยรบกวน สามารถติดต่อเรือได้ที่บริเวณ วังบัวแดง ราคาเรือลำละ 100 บาท นั่งได้ไม่เกิน 3 คน
ล่องเรือชมลำน้ำโขง เกาะกลางลำน้ำโขง

การเดินทางไปวังบัวแดง
วังบัวแดงห่างจากเมืองหนองคายประมาณ 16 ก.ม. การเดินทางควรใช้เส้นทางริมโขง เข้าสู่บ้านปะโคเลี้ยวเข้าซอย พระธาตบุซอยอยู่ ข้างปั้มน้ำมันปะโค) เข้าไปประมาณ 5-6 กม
ขอบคุณแหล่งที่มา www.paiduaykan.com

Tuesday, April 9, 2019

อุทยานแห่งชาติแม่เมย จังหวัดตาก

อุทยานแห่งชาติแม่เมย


อุทยานแห่งชาติแม่เมย อยู่ในเขตอำเภอท่าสองยาง มีพื้นที่ติดต่อกับชายแดนสหภาพพม่าโดยมีแม่น้ำเมย เป็น เส้นแบ่งเขตแดน อุทยานแห่งชาติแม่เมยขึ้นชื่อในเรื่องของความสวยงามและอลังการของทะเลหมอก มาช้านาน ไม่ว่าจะเป็น ม่อนปุยหมอก ม่อนครูบาใส  ม่อนกระทิง ม่อนกิ่วลม และม่อนพูนสุดา ซึ่งแต่ละจุดเป็น จุดชมทิวทัศน์ ของขุนเขาและทะเลหมอกที่มีชื่อเสียง บริเวณที่ทำ การอุทยานฯ มีการจัดภูมิทัศน์ และตกแต่งพื้นที่ด้วยไม้ประดับดูสวยงาม บรรยากาศโดยรอบที่ ทำการสงบร่มรื่นด้วย ป่าเขา และยังมีสัตว์ป่าต่างๆ เช่น กวาง ละมั่ง เป็นต้น นอกจากนั้นทางอุทยานฯ ได้จัด เส้นทางศึกษาธรรมชาติ ใช้เวลาเดินประมาณ 6 ชั่วโมง ต้องมีเจ้าหน้าที่นำทางโดยติดต่อล่วงหน้าที่อุทยานฯ เป็น เส้นทางเดินแบบไปเช้า- เย็น กลับ หรือจะพักแรมก็ได้ ระหว่างเส้นทาง ที่เดินเป็นทางขึ้นเขาบ้าง ลงเขาบ้าง ทางเดินไม่ชันมาก เดินเรียบลำน้ำขึ้นไปเรื่อยๆ ผ่านน้ำตกเล็กๆ บางครั้งต้องปีนบันไดไม้ไผ่ที่สร้าง ขึ้น ขนานไปกับ น้ำตก ละอองน้ำจากน้ำตกจะกระเด็นเข้ามาปะทะที่ใบหน้าทำให้สดชื่นขึ้น หากมาในช่วงปลายฝนต้นหนาวจะพบ ดอกไม้ป่านานาชนิดหลากสีสันบานอยู่ริมทางเดินหรือริมน้ำตก เช่น ดอกกระทือสีแดง ดอกบัวตองสีเหลืองบาน เป็นกอชวนสะดุดตา ตัดกับผืนป่าสีเขียว บางดอกซ่อนตัวอยู่กับพรมมอสสีเขียวเข้ม

สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอุทยานแห่งชาติแม่เมย
จุดชมทะเลหมอกที่น่าสนใจ มี 4 จุด ดังนี้ 


1. ม่อนปุยหมอก
เป็นจุดที่ชมทะเลหมอกได้กว้างไกลและชมพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกได้งดงามอีกแห่งหนึ่ง การเดินทาง จากตัวอุทยาน ต้องเดิน ทางขึ้นไปด้วยเท้าระยะทาง 3.8 ก.ม.ใช้เวลาเดินเท้าเข้าไปประมาณ 4-5 ชั่วโมง และ ต้องพักค้างแรม 1 คืน และที่สำคัญ หากใคร อยากมาเที่ยวที่นี่ต้องเตรียมร่างกายมาให้พร้อมเลย เพราะ3.8 ก.ม.นี้ ทางชันและขึ้นเขาอย่างเดียว จะมีทางราบและลงเพียงเล็กน้อย เท่านั้น หากมาในช่วงปลายฝนต้นหนาว จะได้ ชมไม้ แมลงและความเขียวขจีของเฟรินไปตลอดทางเดิน

**สิ่งที่ต้องเตรียมเมื่อต้องการขึ้นไปชมทะเลหมอกที่ม่อนปุยหมอก
เนื่องจากการเดินไปชมทะเลหมอกที่นี่ต้องใช้เวลาอยู่บนม่อนปุยหมอก  2 วัน 1 คืน ดังนั้นควรเตรียมซื้ออาหาร การกิน น้ำ ของใช้ส่วนตัว และอุปกรณ์ต่างๆไปเองให้เพียงพอ  เนื่องจากที่ม่อนปุยหมอกไม่มีสิ่งอำนวยความ สะดวกใดๆ ทั้งสิ้นแม้แต่ห้องน้ำ และก่อนเดินทาง การเดินขึ้นไปม่อนปุยหมอกต้องมีเจ้าหน้าที่ ของอุทยานฯ นำทางไปด้วย เพราะฉะนั้นก่อนไปติดต่อ เจ้าหน้าที่ไว้ ล่วงหน้าได้เลยค่ะ เพื่อให้จัดเตรียมลูกหาบไว้ให้เราด้วย ค่าลูกหาบคิดกิโลละ 15 บาท

จุดชมทะเลหมอกที่ตั้งอยู่ในบริเวณอุทยาน ซึ่งรถสามารถเข้าถึงได้ คือ


1.ม่อนครูบาใส
ชมทะเลหมอกยามเช้าและพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงาม อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 7 กิโลเมตร

2.ม่อนพูนสุดา
เป็นจุดชมทะเลหมอกที่สวยงามมากอีกแห่งหนึ่ง อยู่ห่างจากม่อนครูบาใส 200 เมตร ชื่อม่อนตั้งขึ้นตามชื่อของ นักถ่ายภาพชั้นครูของ เมืองไทย คือ อาจารย์พูน เกษจำรัส และภรรยาของท่านชื่อ สุดา เพื่อเป็นเกียรติแด่ อาจารย์พูน ในฐานะที่เป็นผู้เดินทางมาถ่ายภาพ บนหม่อนนี้เป็นคนแรก

3.ม่อนกิ่วลม
เป็นจุดชมดวงอาทิตย์ขึ้นยามเช้าที่สวยที่สุดจุดหนึ่ง ที่ใช้ชื่อว่า ม่อนกิ่วลม ก็เพราะที่แห่งนี้มีช่องหรือกิ่วที่มีลมพัด ผ่านอยู่เสมอ ม่อนกิ่วลมอยู่บนความสูง 940 เมตรจากระดับน้ำทะเล มองเห็นทะเลหมอกปกคลุมหุบเขาเบื้องล่าง โดยมียอดเขาสูงต่างๆ โผล่พัน สายหมอกแลดูราวกับเกาะใหญ่น้อยกลางทะเลสีขาว อากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี สภาพป่าโดยรอบเป็นป่าดิบเขา เดินทางต่อจาก ม่อนกระทิงลัดเลาะไปตามไหล่เขาอีกประมาณ 8 กิโลเมตร จุดชมทิวทัศน์ม่อนกิ่วลม อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งงชาติประมาณ 12 กิโลเมตร

4. ม่อนกระทิง
เป็นจุดชมทะเลหมอกที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งคำว่า“ม่อน”หมายถึงเนินดินหรือเนินเขาเตี้ยๆ ชื่อม่อนกระทิงมีที่มา จากว่าบริเวณนี้เคย มีกระทิงอาศัยอยู่ชุกชุมจนมีพรานป่าขึ้นมาล่าอยู่เสมอๆ เดินทางจากถ้ำแม่อุสุต่อไปจนพบกับ ทางหลวงจังหวัดหมายเลข1267 สายแม่สลิดหลวง-แม่ระเมิง ให้เลี้ยวขวาขึ้นสู่ดอยแม่ระเมิง ช่วงนี้เป็นทางขึ้นเขา ชัน ระยะทางประมาณ 11 กม. จะถึงที่ทำการ อุทยานแห่งชาติ ม่อนกระทิงอยู่ห่างออกไปอีกไม่ไกล
สิ่งอำนวยความสะดวกของจุดชมทะเลหมอกทั้ง 3 จุด
นักท่องเที่ยวที่อยากสัมผัสทะเลหมอกอย่างใกล้ชิด ส่วนใหญ่จะมากางเต้นท์แคมปิ้งสัมผัสทะเลหมอกอย่าง ซึ่งจะเลือกกางเต้นท์ที่จุดใด ก็ได้ แต่ส่วนใหญ่จะนิยมกางเต็นท์ที่ม่อนกิ่วลมเนื่องจากที่นี่เป็นจุดที่ี่พระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า  จุดชมทะเลหมอกทั้ง 3 จุด ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ เช่นกัน ต้องเตรียมอาหาร และเครื่องดื่ม ต่างๆ ไปเอง ส่วนห้องน้ำจะเป็นห้องน้ำแบบใช้ดินกลบ ไม่มีน้ำให้ ส่วนใหญ่หลังจากที่พักค้างคืนในบริเวณจุดชมทะเลหมอกทั้ง 4 จุดแล้ว นักท่องเที่ยวจะลงมาอาบน้ำและล้างอุปกรณ์ต่างๆ  ที่บริเวณตัวอุทยานแห่งชาติแม่เมย เนื่องจากที่อุทยานฯ มีห้องน้ำและสิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่า

สถานที่ท่องเที่ยวอื่นในตัวอุทยานแห่งชาติแม่เมย

1.น้ำตกแม่ระเมิง
ห่างจากที่ทำการของอุทยานแห่งชาติ ตามเส้นทางสู่ม่อนกิ่วลมอยู่บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 20 ทางด้านขวามือจะ พบน้ำตก ลักษณะ เป็นน้ำตกขนาดเล็กสูงราว 15 เมตร ตกลงมาเป็นสองชั้นไหลลงสู่แอ่งน้ำเบื้องล่าง

2.น้ำตกชาวดอย
อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติ ตามถนนแม่สลิด-แม่ระเมิง ประมาณ 5 กิโลเมตร ระหว่างหลักกิโลเมตรที่ 17-18 มีเส้นทางเดิน เท้าประมาณ 500 เมตร ใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที จะพบกับน้ำตกชาวดอยที่ไหลจาก หน้าผาสูงราว25-30 เมตร ลักษณะเป็น น้ำตกขนาดกลางชั้นเดียวที่ทิ้งลงสู่เบื้องล่าง รวมตัวเป็นสายธารไหล ลัดเลาะไปตามโขดหินที่ ระเกะระกะกลางลำห้วยแลดูสวยงาม แปลกตา

3.น้ำตกแม่สลิดน้อย
อยู่ด้านหลังที่ทำการอุทยานแห่งชาติ ต้องเดินทางเท้าลัดเลาะไปตามลำห้วยแม่สลิด ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ระหว่างทางจะมีพันธุ์ไม้ ที่น่าสนใจให้ศึกษา เช่น ดอกเทียน หงอนเงือกเล็ก แววมยุราเล็ก ดอกไม้เถา เห็ดป่าสี สวยสดใส และเฟิร์น ใช้ชมตลอดทาง ถึงน้ำตก ชั้นแรก แยกเป็นสองสายตกจากหน้าผาสูงราว 40 เมตร ส่วนชั้นที่ 2, 3 และ 4 ต้องปีน ป่ายไปตามไหล่เขาที่สูงชัน ชั้นบนสุดจะพบ น้ำตกอีกสองชั้นใหญ่ๆ มีสายน้ำทิ้งตัวไหลลงสู่ เบื้องล่างติดต่อกันลงมาถึงสองชั้น จากหน้าผาสูงชันไม่น้อยกว่า 80 เมตร ลงสู่แอ่งน้ำ ใหญ่ด้วยความแรงของ สายน้ำทำให้เกิดละอองเป็นฝอยฟุ้งกระจายไปทั่ว ทางอุทยานแห่งชาติได้จัดทำ เส้นทางศึกษา ธรรมชาติน้ำตก แม่สลิดน้อยสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการเดินท่อง ธรรมชาติ ฟังเสียงสายน้ำ และศึกษาพรรณไม้นานาชนิด อยู่ห่างจาก ที่ทำการอุทยาน แห่งชาติประมาณ 1.8 กิโลเมตรระหว่างเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติมีน้ำตกขนาดเล็กมากมาย ให้ได้ชม

4.ถ้ำแม่อุสุ
เป็นถ้ำหินปูนที่มีขนาดกว้างใหญ่ มีลำน้ำแม่อุสุไหลเข้าสู่ปากถ้ำซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ แล้วไหล เวียนไปออกด้านหลัง ถ้ำลงไปสู่แม่น้ำเมยซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ มีระยะทางโดยประมาณ 450 เมตร ปากถ้ำกว้างประมาณ 20 เมตร สูงประมาณ 6 เมตร ภายในของถ้ำมีคูหาใหญ่ๆ อยู่ 3 คูหา มีหินงอกหินย้อยที่ สวยงามมาก เวลากลางวัน แสงอาทิตย์ส่องลาดผ่านปล่องถ้ำลงมา กระทบหินทราย เกิดประกายแวววาว บริเวณ ปากทางเข้าถ้ำมีเจ้าหน้าที่นำเที่ยวชมภายใน ทางเดินในถ้ำค่อนข้างสะดวก มีเพียงบาง ช่วงที่ต้องปีนป่ายก้อนหิน บ้าง ใช้เวลาเที่ยวชมประมาณ1 ชั่วโมง ในช่วงฤดูฝนระดับน้ำในถ้ำจะขึ้นสูงจนไม่สามารถเข้าไปในถ้ำได้ ถ้ำแม่อุสุ จึงเที่ยวได้เฉพาะในช่วงฤดูหนาวและฤดูแล้ง ถ้ำแม่อุสุอยู่ห่างจากอำเภอท่าสองยางตามทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 105 สายแม่สอด - แม่สะเรียง ระยะทางประมาณ 13 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายตามถนน รพช. ผ่านบ้าน ทีโนะโคะ ระยะทาง 2 กิโลเมตร ถึงถ้ำแม่อุสุ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่หมายเลข 08 5732 2532
สิ่งอำนวยความสะดวกอุทยานแห่งชาติแม่เมย
สถานที่พัก ทางอุทยานฯ มีบริการบ้านพัก จำนวน 3 หลัง ราคา 1,000 บาท อุทยานแห่งชาติจัดเตรียม สถานที่ กางเต็นท์และเต็นท์ ไว้ให้บริการนักท่องเที่ยว การสำรองที่พักเต็นท์สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดและ สำรองที่พักเต็นท์ได้กับอุทยานแห่งชาติโดยตรง อัตราค่าบริการสถานที่กางเต็นท์และเต็นท์เพิ่มเติ่มหาก ต้องการ ให้อุทยานฯ บริการด้านอาหารต้องแจ้งล่วงหน้า สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติแม่เมย อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก 63150 โทร 0 5551 9644-45หรือ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช บางเขน กรุงเทพฯ โทร.0 2562 0760 www.dnp.go.อัตราค่าเข้าอุทยานแม่เมย ชาวไทย เด็ก 10 บาท ผู้ใหญ่ 20 บาท ชาวต่างประเทศ เด็ก 100 บาท ผู้ใหญ่ 200 บาท รถยนต์ 4 ล้อ 30 บาท (ไม่รวมคนขับ)
บทความและเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง
อลังการแห่งทะเลหมอกที่ม่อนปุยหมอก อุทยานแห่งชาติแม่เมย
การเดินทางไปอุทยานแห่งชาติแม่เมย
1. โดยรถยนต์ส่วนตัว
จากตัวเมืองตากไปตามเส้นทางสายแม่สอด-แม่ระมาด-ท่าสองยาง ทางหลวงหมายเลข 105 ระยะทางประมาณ 114 กิโลเมตร มีทางแยกขวามือที่จุดตรวจแม่สลิดเป็นทางที่ตัดไปสู่อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่เป็นทาง ขึ้นเขาไปอีกประมาณ 11 กิโลเมตร ถึงที่ทำการอุทยานฯ ทางขึ้นเขาเป็นทางชันรถบัสใหญ่ไม่สามารถขึ้นไปได้ (หมายเหตุ เส้นทางหลวงหมายเลข 105 ช่วงแม่สอด-แม่ระมาด-ท่าสองยาง เป็นเส้นทางเลียบชายแดนจึงไม่ แนะนำให้เดินทางผ่านหลังเวลา 18.00 น.) หรือนั่งรถสองแถวประจำทางจากแม่สอดไปบ้านแม่สลิดหลวงหลังจาก นั้นต้องเหมารถต่อไปที่ทำการอุทยานฯ

ขอบคุณแหล่งที่มา www.paiduaykan.com

Sunday, April 7, 2019

พาเที่ยวน้ำตกพาเจริญจังหวัดตาก

น้ำตกพาเจริญ




น้ำตกพาเจริญ ตั้งอยู่ในเขต อุทยานแห่งชาติน้ำตกพาเจริญ เป็นน้ำตกหินปูนที่สวยงามด้วยชั้นน้ำตกที่ไหล ลดหลั่นลงมาเป็นชั้นเล็กชั้นน้อยจำนวนมาก นัก มีน้ำตลอดปี มีถึง 97 ชั้น และตั้งอยู่ริมทางหลวงไม่ไกลจาก เมืองแม่สอด จึงเป็นจุดที่นิยมแวะมาท่องเที่ยวและพักผ่อน อยู่ในความดูแลของอุทยานแห่งชาติน้ำตกพาเจริญ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ใน อำเภอแม่สอด และอำเภอพบพระ จังหวัดตาก ประกอบไปด้วยป่าที่อุดมสมบูรณ์พื้นที่เป็น ภูเขาสูงสลับซับซ้อนเป็น แหล่งต้นน้ำลำธาร และยังเป็นต้นกำเนิดของห้วยแม่ละเมา  ชื่อของน้ำตกตั้งตามชื่อของ ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ซึ่งเป็นผู้พบน้ำตกคนแรกนามว่า สหายพา ต่อมาชาวบ้านเข้ามาอาศัยในพื้นที่บริเวณนี้ จนเกิดเป็นชุมชนที่เจริญขึ้น จึงต่อคำว่าเจริญท้ายชื่อน้ำตกเป็นน้ำตกพาเจริญ นอกจากนี้ยังมีเรียกน้ำตกนี้อีก ชื่อหนึ่งว่า น้ำตกร่มเกล้า 97 ชั้น

การเดินทางไปน้ำตกพาเจริญ

1.โดยรถยนต์
น้ำตกพาเจริญ อยู่ริมทางหลวงหมายเลข1090 บริเวณกิโลเมตรที่ 36-37 ครับ มีทางลูกรังแยกซ้ายมือเข้าไปอีก 700 เมตร จะถึงตัวน้ำตก

ขอบคุณแหล่งที่มา www.paiduaykan.com

Friday, April 5, 2019

ท่องเที่ยวไทย ดอกไม้สวยทุ่งทานตะวัน อำเภอตากฟ้า นครสวรรค์

 ทุ่งทานตะวัน อำเภอตากฟ้า นครสวรรค์




ทุ่งทานตะวัน นครสวรรค์   อัพเดทภาพล่าสุดในปีนี้มาให้ชม ถ่ายเมื่อวันที่ 13  ธันวาคม 2559  ทุ่งทานตะวัน ตั้งอยู่ในอำเภอตากฟ้า ซึ่งในเส้นนี้มีให้ชมหลายจุดค่ะ  ซึ่งแต่ละที่จะบานไม่พร้อมกัน  จุดที่ทางอำเภอจัดงานตอนนี้ยังไม่บาน  จะตั้งอยู่เลยจากแยกตากฟ้ามานิดนึง  สำหรับจุดหลักๆ ที่สามารถชมได้แบบสวยงามที่ไปแล้วค่อนข้างประทับใจ คือ เป๋าตุงฟาร์มไร่ใหญ่ค่ะ  ซึ่งของไร่นี้จะมีอยู่ 2 จุดให้เข้าชม  คือ ไร่ใหญ่ต้องขับรถเข้าไปในซอยประมาณ  2.5 ก.ม.  ส่วนไร่ที่ 2  คือ ไร่เล็กอยู่ติดถนน

ออกจากกรุงเทพประมาณ 6โมงเช้า ไปแบบเช้าเย็นหลับ ขับรถมาทางอยุธยา สิงห์บุรี ตัดมาทางเส้นอำเภอตากฟ้า วิ่งมาทางถนนทางหลวงชนบทหมายเลข 11  ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง หรือ 3 ชั่วโมงนิดๆ รวมแวะทานข้าวเข้าระหว่างทางด้วยค่ะ  เมื่อเข้าสู่แยกอำเภอตากฟ้าตรงไปเรื่อยๆ ถ้าเราใช้ google นำทาง จะมาร์คจุดทุ่งทานตะวันอำเภอตากฟ้า ไว้ตรงจุดนี้ค่ะ ตั้งอยู่ก่อนถึงที่ว่าการอำเภอ ส่วนนี้จะเป็นพื้นที่ของตำบลพุนกยูง ซึ่งถือได้ว่าเป็นจุดจัดงานทานตะวันบานของอำเภอตากฟ้า  แต่ไม่ต้องแปลกใจว่ามาผิดหรือเปล่า ไม่ผิดค่ะ เพียงแต่ตอนนี้ดอกทานตะวันยังไม่บาน

ให้ขับรถตรงไปยังทุ่งทานตะวันอีกจุด ของเป๋าตุงฟาร์ม ซึ่งตอนนี้บานสวยมาก น่าจะสวยที่สุดในอำเภอเท่าที่สำรวจดูและคงมีให้ชมไปจนถึงเดือนม.ค.  ตรงไปยังถนน 1145  อ.ตากฟ้า – ท่าตะโก  สังเกตหลักกิโลไว้ค่ะ ประมาณหลัก กม.ที่ 6 มีสัญลักษณ์ดอกทานตะวันเล็กๆปักอยู่ตรงหลักกิโล ต้องสังเกตให้ดีด้านซ้ายมีป้ายเขียนว่าบ้านพุเม่น จะมีซอยหลังป้ายเลี้ยวซ้ายเข้าไปเลยค่ะ เส้นทางตรงนี้จะมีฝุ่นพอสมควร




ระหว่างทางเราจะเห็นดอกทานตะวันกำลังเริ่มบานแบบหรอมแหรมก็ขับผ่านไปเช่นเคยไปจนเกือบสุดทาง เราจะเริ่มเห็นทุ่งทานตะวัน  เป๋าตุงฟาร์ม สีเหลืองโดดเด่นอยู่ไม่ไกล เท่าที่ทราบมาคือ นักท่องเที่ยวจะไม่ค่อยทราบว่ามีทุ่งทานตะวันจุดนี้ด้วย  เพราะไม่มีป้ายบอกอะไรเลยสังเกตยาก ไม่ได้อยู่ติดถนนต้องเขาซอยไปอีก เราเองตอนแรกก็ไม่ทราบค่ะ แต่พอดีแวะไปยังไร่แรกที่อยู่ติดถนนก่อน  ทางเจ้าของไร่บอกว่ามีไร่ใหญ่อีกไร่หนึ่งให้แวะไปได้ เราเลยเลี้ยวรถย้อนกลับไป

ตอนแรกที่มาถึงแอบใจแป้วไปนิดนึง เพราะหลายทุ่งยังไม่บาน และที่บานแล้วก็ยังไม่ถูกใจ เป็นความโชคดีที่ได้มาเจอไร่เป๋าตุงไร่ใหญ่  มาไม่เสียเที่ยวแล้ว  พื้นที่กว้างขวางสวยงามราบโค้งไปตามเนินดิน ยิ่งมาวันธรรมดาไม่มีคน อาณาจักรทานตะวันบนพื้นที่กว่า 40 ไร่แห่งนี้เป็นของเราเพียงผู้เดียว

ดอกทานตะวันจะไม่ได้ดอกใหญ่มากค่ะ เล็กกำลังพอดี และที่ชอบมากคือ ดอกไม้ไม่สูงจนเกินไปเหมือนที่อื่นที่เคยเจอ ทำให้ยืนถ่ายภาพแทรกตัวในทุ่งทานตะวันได้ง่ายซักหน่อย พอจะได้เห็นตัวเองบ้าง  ตรงป้ายมีการใช้กองฟางมาต่อกันเป็นเก้าอี้ให้ได้ยืนถ่ายภาพด้วย

เราสามารถเดินไปจนถึงสุดทางต้นไม้ที่เราเห็นค่ะ  ถ้ามีแรงเดินไหว และสามารถอดทนกับแดดที่ร้อนได้  แต่โดยส่วนตัวคิดว่าถ่ายภาพจากมุมไกลๆ แบบนี้น่าจะสวยกว่า เพราะยิ่งเดินไปเหมือนว่าเราจะเห็นความกว้างได้น้อยลง
ดอกทานตะวันสวยงาม อวบอิ่ม ไม่มีดอกไหนที่เหี่ยวเลยค่ะ เพราะกำลังบานเต็มที่
ถ่ายภาพพอตเทรตกันได้สนุกมาก ดอกทานตะวันอยู่รายล้อมตัว
จากไร่แรก ถือว่าเต็มอิ่มมากๆ จนไม่อยากไปถ่ายตรงจุดอื่นเลยที่เดียวค่ะ เพราะก่อนมาไร่นี้ขับรถเซอร์เวย์ในอำเภอตากฟ้ามาแล้วรอบนึง ส่วนใหญ่ริมถนนยังไม่บาน เห็นว่าจะบานเต็มที่ช่วงปีใหม่  ไร่นี้ คือ ไร่เป๋าตุ๋ง  ที่อยู่ติดริมถนน คนส่วนใหญ่จะแวะไร่นี้มากกว่า เพราะสังเกตง่าย  พื้นที่ภายในไร่จะเล็กซักหน่อยดอกทานตะวันเริ่มเหี่ยวลงไปบ้างแล้ว  ตรงข้ามกับไร่ มีทุ่งดอกทานตะวันอีกค่ะ แต่ยังบานไม่เต็มที่ น่าจะช่วงม ค เช่นกัน
จากไร่เป๋าตุ๋งขับรถตรงมาอีกนิดนึง มายังจุดต่อไปเป็นไร่ของ อ บ ต พุนกยูง   เจอแยกนี้เลี้ยวซ้าย ทุ่งทานตะวันอยู่ข้าง อ บ ต จอดรถข้างในแล้วเดินเข้าไปชมได้



ถือว่าเป็นทุ่งทานตะวันที่ไม่ได้กว้างมากและดอกทานตะวันค่อนข้างสูงพ้นตัวมีการตกแต่งมุมให้ถ่ายภาพพอสมควร สรุปแล้วอิ่มกับทานตะวันทุ่งแรกมากค่ะ คิดว่าน่าจะสวยที่สุดในตากฟ้าเวลานี้ มีอีกจุดหนึ่งที่เราผ่านไป คือ บ้านน้ำวิ่ง แต่โดยส่วนตัว คิดว่ายังไม่สวยเท่าและบางจุดก็ยังไม่บาน บางจุดก็เหี่ยวไปเยอะแล้ว เลยคิดว่าหากใครไม่อยากผิดหวังไม่แล้วไม่เสียเที่ยวในการชมทุ่งทานตะวันในอำเภอตากฟ้า แนะนำให้มา ทานตะวันของไร่เป๋าตุงไร่ใหญ่ค่ะ

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.paiduaykan.com